SAT-1 สนามบินสุวรรณภูมิพร้อมเปิดให้บริการ 28 ก.ย. นี้ นำร่อง 2 สายการบิน
สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมเปิดให้บริการ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) เริ่ม 28 ก.ย. 66 นำร่อง 2 สายการบินระหว่างประเทศ เปิดจริง พ.ย. นี้ ตั้งเป้ารองรับผู้โดยสารเต็มรูปแบบ 15 ล้านคนปี 67 เตรียมลงทุนสายพานเพิ่ม 3,700 ล้านบาท พร้อมยกเลิก Bus Gate แล้ว
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท (AOT) พาคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ เข้าเยี่ยมชมอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นโครงการ พัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 ปีงบประมาณ 2554-2560 วงเงินลงทุนกว่า 39,760 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2559 โดยตามกำหนดเดิมต้องเปิดให้บิรการปี 2564 แต่ด้วยวิกฤติโควิด19 ทำให้ต้องเลื่อนมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะเปิดเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2566 มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 251,400 ตารางเมตร และมี 28 สะพานเทียบ
ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. เปิดเผยว่า การเปิดแบบ Soft Opening จะเป็นการนำร่องในช่วง 1 เดือนแรก ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศของ 2 สายการบิน รวม 18-20 เที่ยวบินต่อวัน แบ่งเป็น ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ 12-14 เที่ยวบิน และ ไทยเวียตเจ็ท 4 เที่ยวบิน โดยเที่ยวบินแรกที่ทำการบินเข้ามาที่อาคาร SAT-1 ในวันที่ 28 กันยายน 2566 เป็นเที่ยวบินของสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ เที่ยวบินที่ XJ 0761 เดินทางจาก SHANGHAI ถึง ทสภ. เวลา 10.15 น. ผู้โดยสาร 302 คน ซึ่งในวันแรกจะมีผู้โดยสารเดินทางเข้ามาที่ SAT-1 รวม 2,690 คน
“ส่วนใหญ่จะบินไป-กลับ ไทย และประเทศในแถบเอเชีย โดยมีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นหลัก ขานรับนโยบายวีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวจีนของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนพฤศจิกายน”
ทั้งนี้ มีอีก 10 สายการบินที่สนใจเข้าใช้บริการอาคาร SAT-1 ได้แก่ สายการบิน มหันต์แอร์ (ประเทศอิหราน) สายการบินเอทิฮัด สายการบินอิหร่าน สายการบินอิมิเรตส์ สายการบินกาตาร์ สายการบินออลนิปปอน สายการบินสแกนดิเนเวีย ส่วน สายการบินไทย และอีก 4-5 สายการบินกำลังหารือกัน อย่างไรก็ตาม SAT-1 สามารถรองรับเล้าน์ขนาดใหญ่ 6 แห่ง และสามารถรองรับเครื่องบินลำใหญ่ อย่างแอร์บัสเอ 380 ได้ ทำให้หลายสายการบินสนใจ ซึ่ง ทอท. กำลังพิจารณามาตรการลดค่าใช้จ่ายให้สายการบิน ที่อาจจะต้องมีพนักงานและพื้นที่ปฎิบัติการ 2 แห่ง คือ อาคารหลัก และอาคาร SAT-1 เช่น ค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน ค่าใช้บริการสะพานเทียบเครื่องบิน ค่าจอดเครื่องบิน เป็นต้น
นอกจากนี้ ทอท. ยังเร่งแก้ปัญหาคอขวดประสานงานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ในการเพิ่มเจ้าหน้าที่ให้บริการ แก้ปัญหาแออัด ล่าสุดคาดว่าจะมีมาเพิ่มอีก 200 คน และยังมีแผนลงทุน โครงการพัฒนาระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารขาเข้าเรียกระบบ ICS ภายใต้กรอบวงเงินประมาณหลักประมาณ 3,700 ล้านบาท ตามขั้นตอนจะใช้เวลาดำเนินการแล้วเสร็จในอีก 2 ปีหน้า ขยายจากปัจจุบันมีเฉพาะสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารขาออกเป็นหลักเท่านั้น ใช้เวลาลำเลียงจากลานจอดไปยังสายพานรับกระเป๋าได้ภายใน 17-20 นาที
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาได้ทดลองปฏิบัติการเต็มรูปแบบอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1 Full - Scale Trial Operations) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้ปฏิบัติการร่วมกับสายการบิน ผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมด 3 ครั้ง ในวันที่ 8 และ 12 กันยายน 2566 ช่วงเวลากลางวัน และวันที่ 20 กันยายน 2566 ช่วงเวลากลางคืน เพื่อสร้างความมั่นใจในความพร้อมสำหรับการเปิดให้บริการแบบ Soft Opening ในวันที่ 28 กันยายน 2566 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปีในปี 2567
“ในช่วง Soft Opening การให้บริการเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากร ร้านค้า Duty free ร้านอาหาร และห้องรับรองพิเศษผู้โดยสาร พร้อมเปิดให้บริการแล้วบางส่วน ทำให่ SAT-1 จะครบวงจร สามารถบริหารจัดการแบบรีโมทระยะไกล และจากนี้ ทสภ. จะไม่มี bus gate แล้ว เพื่อให้สายการบินลูกค้าซึ่งใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ซูเปอร์จัมโบ้ แอร์บัส A380 โบอิ้ง 747-800 สามารถลำเลียงผู้โดยสารเข้าออกได้อย่างสะดวกสบาย”
สำหรับการเดินทางไปยัง SAT-1 จะใช้ระบบขนส่งผู้โดยสาร หรือ Automated People Mover (APM) เป็นรถไฟฟ้าไร้คนขับแห่งแรกของไทย มีทั้งหมด 6 ขบวน 2 โบกี้ รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 210 คนต่อขบวน วิ่งให้บริการระยะทาง 1 กิโลเมตร ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้เวลารอรับบริการประมาณ 3.30 นาที และใช้เวลาโดยสารบน APM ประมาณ 2 นาที ขนส่งผู้โดยสารได้มากถึง 3,590 คนต่อชั่วโมง
