สธ. ถอนด่วน งบกองทุนหลักประกันสุขภาพ 2.2 แสนล้าน หลังถูกสำนักงบหั่นเรียบ

24 ต.ค. 2566 | 08:12 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ต.ค. 2566 | 08:21 น.

“หมอชลน่าน” ขอถอนด่วน งบ สปสช. ปี 2567 หลังเสนอครม. 2.2 แสนล้าน แต่เจอสำนักงบประมาณ หั่นลงกว่า 6,000 ล้านบาท ขอไปเคลียร์อีกรอบ หวั่นงบไม่พอใช้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค พลัส

วันนี้ (24 ตุลาคม 2566) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ขอถอนวาระการเสนอขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ออกจากที่ประชุมครม. เพื่อไปหารือกับสำนักงบประมาณให้ได้ข้อสรุป หลังจากเสนอวงเงินเข้ามา 223,615.51 ล้านบาท แต่ถูกตัดไปกว่า 6,000 ล้านบาท

สำหรับวงเงินงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่เสนอเข้ามาในครั้งนี้ 223,615.51 ล้านบาท แบ่งเป็น

 

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

สำหรับกรอบวงเงินดังกล่าว ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ได้วงเงินเสนอไปยังสำนักงบประมาณ พิจารณาตามขั้นตอน แต่ได้รับการตัดงบจากข้อเสนอลง ทั้งการตัดงบของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 221,528.95 ล้านบาท เหลือเพียง 215,938.06 ล้านบาท ส่วนงบบริหาร 2,086.56 ล้านบาทนั้น สำนักงบประมาณ แจ้งว่า จะสนับสนุนงบประมาณให้ตามความจำเป็นต่อไป

ทั้งนี้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ได้แจ้งต่อครม.ถึงความจำเป็นของการเสนอของบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่า เนื่องจากในปี 2567 รัฐบาลมีนโยบายยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค พลัส ซึ่งมีบริการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาก เช่น บริการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หรือการให้บริการที่รวดเร็วขึ้น ถ้าหากตัดงบประมาณลงไปจะทำให้เกิดอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายได้ 

 

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ด้วยเหตุนี้ รมว.สาธารณสุข จึงขอถอนออกไป เพื่อไปหารือกับสำนักงบประมาณอีกรอบให้ได้ข้อสรุป จากนั้นจึงจะนำกลับมาเสนอยังที่ประชุมครม.อีกครั้ง โดยที่ประชุมครม. มอบหมายให้ กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช. หารือกับสำนักงบประมาณ ให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับงบประมาณต่อไป

“สำนักงบประมาณ ไม่ได้ให้เหตุผลถึงการตัดงบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติลง แต่ทาง รมว.สาธารณสุข เป็นกังวลว่า การเสนอของบประมาณในปี 2567 เพิ่มขึ้นมาแค่ 8% หรือเพิ่มจากปีก่อนประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่ตัดงบประมาณไปถึง 5,000-6,000 ล้านบาท ถือเป็นวงเงินใหญ่ จึงขอไปหารือกับสำนักงบประมาณก่อน”