นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท หลังการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ว่า ที่ประชุมมีข้อสรุปจัดเจนในหลายประเด็น แต่ในบางประเด็นยังมีข้อขัดแย้ง ซึ่งจะเสนอให้ที่คณะกรรมการชุดใหญ่ ซึ่งมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธาน เคาะรายละเอียดอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
โดยมติที่ยังมีความเห็นไม่ตรงกันนั้น ได้แก่ กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยมีข้อเสนอแนะในการกำหนดกลุ่มผู้ที่จะได้รับสิทธิ ซึ่งต้องการให้ตัดกลุ่มคนรวยออก คณะกรรมการก็รับฟังและมีการปฏิบัติตาม
โดยมีความเห็นการแบ่งเกณฑ์การรับเงินดิจิทัล 3 แนวทาง ดังนี้
“ทั้ง 3 แนวทางนี้ เราจะเสนอให้คณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานตัดสินใจอีกครั้ง โดยจะมีการส่งเรื่องไปสัปดาห์หน้า ส่วนจะมีการนัดประชุมกันเมื่อไหร่นั้น จะต้องรอติดตามต่อไป”
ทั้งนี้ ได้ข้อสรุปเกณฑ์รัศมีการใช้จ่ายได้ในระดับอำเภอ ซึ่งไม่ได้มีขนาดใหญ่เกินไปที่จะมีการกระจุดตัวของเม็ดเงิน และยังมีร้านค้าเพียงพอให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย โดยระบบการขึ้นเงินของร้านค้านั้น จะต้องเป็นร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) นิติบุคคล และบุคคลธรรมดาที่อยู่ในระบบภาษี
ขณะที่การยืนยันตัวตนมีความเห็นตรงกันว่า จะต้องดำเนินการตามกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยผู้ที่เคยได้ใช้สิทธิโครงการของรัฐผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ แล้วไม่ต้องยืนยันตัวตน ต้องยืนยันตัวตนเฉพาะผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการเท่านั้น ขณะที่ร้านค้าที่ต้องการเข้าร่วมโครงการเปิดให้ทั้งบุคคลธรรมดา นิติบุคคล กองทุนหมู่บ้าน วิสาหกิจชุมชน รวมทั้งสินค้าสำหรับอุปโภคบริโภค เป็นต้น
สำหรับการดำเนินงานในช่วงเริ่มต้นของโครงการที่จะใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 นั้น อาจจะให้โครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ดำเนินการได้ล่าช้า ตามที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณมีผลบังคับใช้ล่าช้า จึงเป็นไปได้ว่าโครงการเติมเงินดิจิทัล จะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2567