นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผย ผลประกอบการประจำไตรมาส 3 ปี 2566 ว่า ไตรมาส 3/66 บริษัทมีกำไรสุทธิ 66.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 732% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไร 7.95 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้จากการประกอบธุรกิจในงวดไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 1,249.51 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1,378.97 ล้านบาท
ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จำนวน 143.25 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจำหน่ายรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่เป็นการจำหน่ายรถบรรทุกไฟฟ้ามากกว่ารถโดยสารรถไฟฟ้า และรายได้จากการขายของรถบรรทุกไฟฟ้ามีมูลค่าที่ต่ำกว่ารถโดยสารไฟฟ้า ส่งผลให้รายได้ของกลุ่มกิจการลดลง
ส่วนกำไรขั้นต้นในงวดไตรมาส 3/66 มีจำนวน 151.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% จากช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 93.68 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจำนวน 46.44 ล้านบาท ธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในไตรมาส 3/66 มีผลกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงาน จำนวน 119.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.44 ล้านบาท หรือ 64% ส่วนใหญ่มาจากการขายรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ จำนวนรวมทั้งสิ้น 1,291 คัน
ขณะที่ธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และระบบซอฟท์แวร์ ในไตรมาส 3/66 มีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานจำนวน 38.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.09 ล้านบาท หรือ 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
นายคณิสสร์ กล่าวต่อว่า ธุรกิจให้บริการขนส่ง ในไตรมาส 3/66 มีผลขาดทุนขั้นต้นจากการดำเนินงานจำนวน 5.79 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนจำนวน 4.63 ล้านบาท หรือขาดทุนลดลง 44% เนื่องจากการบริหารจัดการภายในที่ดีขึ้น และมีการลดต้นทุนจากการดำเนินการในบางส่วน เช่น ต้นทุนจากการเดินรถ
“ในไตรมาส 4/2566 บริษัทเชื่อมั่นว่ารายได้จะเติบโตต่อเนื่อง เพราะจะมีการส่งมอบรถเมล์ไฟฟ้าให้ BYD อีกกว่า 1,000 คัน ซึ่งในไตรมาส 3/66 ไม่ได้มีการส่งมอบรถเมล์ไฟฟ้าเลย นอกจากนี้ที่ผ่านมามีลูกค้าจากตลาดกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ให้ความสนใจขอเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้า และคาดว่าน่าจะทยอยมีคำสั่งซื้อภายในไตรมาส 4/66”
นอกจากนี้ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติ โครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 290 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคึนไม่เกิน 28,712,871 หุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นจำนวน 1.42% ซึ่งไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจะเริ่มต้นซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ วันที่ 17 พ.ย. 2566 และสิ้นสุดการซื้อหุ้นคืน วันที่ 17 พ.ค. 2567
อย่างไรก็ตามการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวแสดงถึงความเชื่อมั่นในแนวโน้มการเติบโตของบริษัท ซึ่งจากนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดมลพิษและเดินหน้าเข้าสู่สังคมปลอดคาร์บอน ส่งผลให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นเป็นโอกาสของกลุ่มธุรกิจ NEX ซึ่งมีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งจะสามารถเติบโตได้อีกมาก