นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยว่า หลังจากที่ NEX ได้เดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในอาเซียน เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดและความเติบโตทางธุรกิจ พบว่ามีเสียงตอบรับที่น่าพอใจ ปัจจุบันบริษัทได้รับคำสั่งซื้อยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จากกลุ่มลูกค้าเมียนมา จำนวน 100 คัน โดยมีกำหนดที่จะส่งมอบในช่วงไตรมาส 3/2566
นอกจากนี้ NEX ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าอีกหลายราย ซึ่งยังมีอีกหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม สปป.ลาว และกัมพูชา ที่มีการส่งมอบรถ EV ให้ลูกค้านำไปทดลองแล้ว คาดว่าจะนำมาสู่การพิจารณาคำสั่งซื้อในเร็วๆนี้ ซึ่งมองว่าจะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างแบรนด์รถ EV ของไทยที่สามารถเติบโตได้ในตลาดต่างประเทศ
นายคณิสสร์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของ NEX สามารถผลิตได้ 300 คันต่อเดือน มีความพร้อมเดินหน้าผลิตเต็มกำลังการผลิตสูงสุดที่ 9,000 คันต่อปี ในอนาคตหากมีความต้องการเพิ่มขึ้นบริษัทจะพิจารณาขยายโรงงานประกอบให้สอดคล้องกับความต้องการใช้รถ EV
ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทมีแผนจะเริ่มผลิตชิ้นส่วนที่ออกแบบเองบางประเภทในประเทศไทย เช่น มอเตอร์ไฟฟ้าและชุดสายไฟแรงสูง ผลิตโดยโรงงานผลิตมอเตอร์อีวีแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไร ช่วยลดต้นทุนการขายต่อหน่วยลง น่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้หน่วยงานของรัฐเร่งปรับเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถ EV มากขึ้น เพราะในอนาคตราคา EV มีแนวโน้มที่จะลดลงด้วย มองว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการผลิต EV เพื่อส่งออกไปยังอาเซียนและประเทศอื่นๆได้ต่อไป
ที่ผ่านมา NEX ยังได้มีการส่งมอบรถบรรทุกไฟฟ้า 12 ล้อ ให้กับบริษัท วารุกะ888 จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการจัดหารถขนส่งสินค้า เพื่อนำไปส่งต่อให้กับลูกค้า บริษัท ไทย เพ็ท เรซิน จำกัด (TPRC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติก PET resin นำไปใช้ในการขนส่งสินค้าเม็ดพลาสติก ซึ่งถือเป็นรถบรรทุกไฟฟ้า 12 ล้อเชิงพาณิชย์ที่พร้อมนำไปใช้ในการขนส่งสินค้าเม็ดพลาสติกเป็นรายแรกของประเทศไทย ถือเป็นผู้นำในการใช้พลังงานสะอาดในการขนส่งสินค้า เพราะการใช้รถบรรทุกไฟฟ้าในการขนส่งนั้นจะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมลพิษฝุ่น PM 2.5 ในชุมชนใกล้เคียง รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อนในการช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการใช้ยานพาหนะพลังงานสะอาดให้มีแนวโน้มมากขึ้นในอนาคต
ขณะที่การส่งมอบรถเมล์ไฟฟ้าให้กับกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 480 คันตามแผน และยังมีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามา ทั้งดีมานด์ยานยนต์ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในกลุ่มโลจิสติกส์ที่เป็นตลาดเป้าหมายของบริษัท
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2566 บริษัทคาดว่าทำได้ดีกว่าไตรมาส 1/2566 ที่มีรายได้ 3,228 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท เพราะนอกจากคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาแล้ว NEX ยังมีการเจรจาขายรถอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าปีนี้ผลประกอบการน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยปีนี้บริษัทยังคงเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท