"รสนา"เตือน"ชัชชาติ"เก็บค่าโดยสารสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2 เสี่ยงผิดกม.

31 ธ.ค. 2566 | 00:29 น.

"รสนา"เตือน"ชัชชาติ"เก็บค่าโดยสารสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2 เสี่ยงผิดกม. หวั่นซ้ำรอยอดีตผู้ว่าอภิรักษ์ และสมัคร แนะพิจารณาให้รอบคอบถึงผลประโยชน์ของชาว กทม. และความเสี่ยงของตนเอง

นางสาวรสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว (รสนา โตสิตระกูล ) เกี่ยวกับประเด็น

ผู้ว่าชัชชาติสั่งเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยาย 2 ในวันที่ 2 มกราคม อาจผิดกฎหมายหรือไม่ ระวังซ้ำรอยอดีตผู้ว่า2 คน

มีข่าวสื่อมวลชนระบุว่าเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2566 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงนามในประกาศกรุงเทพมหานคร จะเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยาย 2 อีก 15 บาท ทันทีหลังเปิดปีใหม่ วันที่ 2 มกราคม 2567 
 

ด้วยกทม.มีนโยบายจะจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ 

โดยกำหนดในอัตราคงที่ 15 บาทตลอดสาย กรณีเดินทางข้ามระบบส่วนต่อขยายที่ 1 กับเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 2 จะไม่คิดค่าโดยสารเพิ่ม ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2567

มีคำถาม 4 ข้อที่ผู้ว่าชัชชาติต้องตอบตัวเอง และตอบให้ชาว กทม.รับรู้ ก่อนเก็บค่าโดยสารดังนี้

  • ส่วนต่อขยาย 2 ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของ กทม. ผู้ว่าฯจึงไม่มีสิทธิทางนิตินัยที่จะเก็บค่าโดยสารเอง ใช่หรือไม่? ส่วนต่อขยาย 2 มีหนี้ค่าก่อสร้างประมาณ 7 หมื่นล้านโดยมีรฟม.เป็นเจ้าของ และมีหนี้ค่าจ้างเดินรถและระบบเชื่อมต่อ ตั้งแต่ปี2562-2566 ประมาณ 1 แสนล้านบาท รวมแล้วประมาณเกือบ 2แสนล้านบาท
  • การเก็บค่าโดยสารในทรัพย์สินที่ กทม.ไม่มีกรรมสิทธิทางนิตินัย เท่ากับผู้ว่าชัชชาติยอมรับภาระหนี้ทั้ง 2 ส่วนนี้โดยพฤตินัย ใช่หรือไม่  
  • การประกาศเก็บเงินค่าโดยสาร 15 บาท ผู้ว่าชัชชาติได้รับอนุมัติจากสภา กทม.แล้วหรือยัง  ถ้ายังไม่ได้รับอนุมัติจากสภา กทม.ให้รับภาระหนี้ค่าก่อสร้างและหนี้ค่าจ้างเดินรถ ผู้ว่าชัชชาติก็จะทำผิดกฎหมายด้วย ใช่หรือไม่ 
  • ถ้าผู้ว่าฯไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา กทม. และไม่ได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลมาชดเชยการขาดทุนจากหนี้ดังกล่าว การเก็บค่าโดยสารอีก 15 บาท ก็ไม่พอจ่ายหนี้อยู่แล้ว อาจทำให้ผู้ว่าฯ ถลำไปสู่การต้องขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักที่กำลังจะหมดสัมปทานในปี 2572 เพื่อล้างหนี้ ซึ่งจะทำให้ชาว กทม.เสียประโยชน์ ต้องจ่ายค่าโดยสารแพงไปอีกไม่ต่ำกว่า 30 ปี ใช่หรือไม่

ผู้ว่าฯจะโดนฟ้องในคดีนี้อย่างแน่นอน และอาจต้องถูกฟ้องจากคดีเก็บค่าโดยสารโดยไม่มีอำนาจ ใช่หรือไม่

นางรสนา ระบุอีกว่า ขอให้ผู้ว่าฯชัชชาติจดจำคดีของอดีตผู้ว่าอภิรักษ์ โกษะโยธินที่ต้องลาออกจากการเป็นผู้ว่าฯกทม. กลางคันเช่นคดีจัดซื้อรถ และเรือดับเพลิงที่จัดซื้อโดยทุจริต เพียงแค่ไปเซ็นเปิด LC จ่ายเงินให้ 

และอดีตผู้ว่าฯกทม.สมัคร สุนทรเวชที่ถูกศาลฎีกาตัดสินเมื่อปี2565 คดีรถ-เรือดับเพลิงเช่นกัน คำสั่งศาลฎีกาให้ภรรยาและทายาทอีก3คนของท่านสมัครต้องจ่ายเงินชดใช้ความเสียหายของคดีรถ-เรือดับเพลิง 587 ล้านบาทแม้ท่านจะถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว

ถ้าผู้ว่าชัชชาติเลือกเดินทางผิด ชาวกทม.อาจจะติดกับดักต้องจ่ายค่าโดยสารแพง และผู้ว่าชัชชาติอาจประสบชะตากรรมแบบอดีตผู้ว่าฯ กทม. ทั้ง 2 ท่านก่อนหน้านั้นหรือไม่
 
ท่านผู้ว่าฯควรใจเย็นๆ รอวันที่กทม.จะได้รับโครงสร้างระบบรางสายสีเขียวหลักคืนกลับมาในปี2572 ไม่ดีกว่าหรือ 

อีกเพียง 5 ปี กทม.ก็จะได้เป็นเจ้าของโครงสร้างระบบรางของสายสีเขียวส่วนหลักทั้งสายแทนชาวกทม. และจะได้รายได้ทั้งค่าเช่าพื้นที่ในทุกสถานี ค่าเชื่อมต่อกับพื้นที่ธุรกิจ และค่าโฆษณาในขบวนรถ และในสถานี ที่สามารถนำมาลดราคาค่าโดยสารลงได้และยังสามารถนำมาเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าของ MRT ได้ทั้งระบบด้วยระบบตั๋วใบเดียว โครงสร้างราคาเดียว และไม่ให้ประชาชนต้องเสียค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน ค่าโดยสารถูกลง ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ทำให้ชาว กทม.ได้รับประโยชน์สูงสุด

ขอให้ท่านชัชชาติคิดให้ดี ควรแก้ปัญหาหนี้สินนี้ด้วยการไปเจรจากับรมต.กระทรวงคมนาคม  (ซึ่งสังกัดพรรคที่เคยสนับสนุนท่านโดยไม่ส่งคนลงแข่งกับท่านตอนเลือกตั้งผู้ว่ากทม.) ให้รับคืนส่วนต่อขยาย 2 กลับไป และให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาการจ่ายหนี้ค่าเดินรถ และเก็บค่าโดยสารเอง ซึ่งกทม. สามารถช่วยดำเนินการในส่วนนี้ให้ได้ โดยไม่ต้องเอา กทม.ไปผูกพันเป็นหนี้เสียเอง  อย่าไปรับเผือกร้อนมาให้ไหม้มือตัวเอง จะดีกว่าไหม

ขอให้ท่านชัชชาติพิจารณาให้รอบคอบถึงผลประโยชน์ของชาว กทม. และ ความเสี่ยงของตัวท่านเอง ดังคำพังเพยไทยที่ว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ