นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสว.กรุงเทพมหานครโพสต์เฟซบุ๊ก โดยระบุว่า ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อีกฉบับ เตือนให้ระวังรัฐบาลออก พรก.กู้เงินเพื่อทำโครงการแจกเงินดิจิทัลภายในไตรมาสแรกของปี 2567 เป็นการหลีกเลี่ยงการกำกับโดยรัฐสภาหรือไม่ เข้าข่ายเป็นการใช้นโยบายการคลังเพื่อสร้างความนิยมให้แก่พรรคการเมือง หรือไม่
โครงการดังกล่าวยังมีลักษณะเป็นสัญญาว่าจะให้ในตอนหาเสียงแตกต่างจากที่ชี้แจงไว้กับกกต.นั้นเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องหรือไม่จึงทำจดหมายเปิดผนึกถึงกกต.เป็นการแจ้งข้อมูลสำคัญต่อกกต.แล้ว
ทั้งนี้ เนื้อจดหมายที่ส่งถึงกกต.ระบุว่าตามที่ได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 19 ตุลาคม 2566 ร้องเรียนให้คณะกรรมการ กกต.ร่วมกับองค์กรอิสระพิจารณาโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทเพื่อปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ในการชี้แนะและตักเตือนรัฐบาลกรณีที่มีความเห็นร่วมกันว่าโครงการดังกล่าวเสี่ยงต่อการทุจริตและอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศ นั้น ขอเรียนว่าคณะกรรมการกกต.จะเป็นองค์กรที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาเรื่องนี้เพราะโครงการดังกล่าว กำลังจะเปิดประเพณีการแข่งขันทางการเมืองใหม่ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง มีรายละเอียดดังนี้
1.เป็นโครงการประชานิยมที่ไร้สถานการณ์ โครงการประชานิยมที่ผ่านมานั้น มักจะมีขอบเขตบางประการเช่นให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ยากไร้ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุ ให้ความช่วยเหลือในยามเจ็บป่วย สนับสนุนการซื้อบ้านหลังแรก สนับสนุนการซื้อรถคันแรก เป็นต้น หรือจะเป็นโครงการที่จำเป็นยิ่งยวดเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น วิกฤตสถาบันการเงินปี 2540 วิกฤตน้ำท่วมปี 2554 วิกฤตโควิดที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศในปี 2563-2565
แต่โครงการแจกเงินดิจิทัล10,000 บาทนั้น มิได้มีสถานการณ์วิกฤตยิ่งยวดทางเศรษฐกิจ มิใช่เพื่อช่วยเหลือคนที่เปราะบางในสังคม มิใช่เพื่อแก้ปัญหาสถาบันการเงินใด แต่เกิดขึ้นเพียงเนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้ ในปี 2566 ที่ 2.8% และในปี2567จะเร่งตัวขึ้นเป็น 4.4% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวไม่มีสภาวะวิกฤตใดๆ นั้นแต่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ รัฐบาลต้องการให้อัตราการขยายตัวในปี 2566 เพิ่มขึ้น เช่นเป็น 5% ดังนั้น โครงการทำนองนี้ จึงเป็นโครงการประชานิยมที่ไร้สถานการณ์ซึ่ งถ้าคณะกรรมการกกต.อนุญาตให้เกิดขึ้นได้ ก็จะเป็นการสร้างประเพณีทางการเมืองใหม่ที่อันตราย
2.เป็นโครงการที่ใช้เกื้อหนุนการหาเสียงได้ กรณีคณะกรรมการกกต.อนุญาตให้โครงการทำนองนี้เกิดขึ้นได้ รัฐบาลก็ย่อมจะสามารถออกโครงการซ้ำในห้วงเวลาใกล้หมดอายุก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพื่อทำให้เศรษฐกิจบูมคึกคักและช่วยเสริมคะแนนนิยมให้แก่พรรครัฐบาล อันจะเข้าข่ายเป็นการใช้นโยบายการคลัง เพื่อสร้างความนิยมให้แก่พรรคการเมือง“ประการสำคัญ โครงการดังกล่าวยังมีลักษณะเป็นสัญญาว่าจะให้ในตอนหาเสียงอัน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งอย่างร้ายแรงด้วย
3.เป็นโครงการที่นำไปสู่การแข่งขันทางการเมือง กรณีคณะกรรมการกกต.อนุญาตให้โครงการทำนองนี้เกิดขึ้นได้ ในการเลือกตั้งในอนาคต พรรคการเมืองก็ย่อมสามารถแข่งขันกัน เช่น ขยายวงเงินแจกเป็นคนละ 1000,000 บาท หรือคนละ 500,000 บาท อันจะเป็นจุดเริ่มต้นพาประเทศสู่หายนะในฐานะการคลังดังเช่นเกิดขึ้นในบางประเทศในทวีปอเมริกาใต้
ขอเรียนว่ามีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะใช้วิธีออกพระราชกำหนดเพื่อกู้หนี้สาธารณะ เพื่อให้สามารถแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทได้ภายในไตรมาสแรกปี 2567ซึ่งนอกจากจะเป็นการหลีกเลี่ยงการกำกับโดยรัฐสภาทั้งที่เป็นโครงการใหญ่อันดับหนึ่งของรัฐบาล ยังจะเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา62 โดยไม่รักษาวินัยการเงินการคลังและการเปิดประเพณีโครงการประชานิยมที่ไร้สถานการณ์ก็จะยิ่งทำลายหลักการวินัยการเงินการคลังของชาติโดยสิ้นเชิงอีกด้วย
นงสาวรสนา ยังระบุด้วยว่า ขอร้องเรียนให้ท่านสั่งให้สำนักงานกกต.พิจารณาว่าโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000บาท ตามที่ปรากฏรายละเอียดมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้งซึ่งปรากฏชัดเจนว่าแหล่งเงินที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงต่อสำนักงานกกต.ว่าส่วนใหญ่จะมาจากงบประมาณ แต่บัดนี้มีแนวโน้มจะใช้วิธีกู้หนี้สาธารณะโดยออกเป็นพระราชกำหนด อันแตกต่างจากที่ชี้แจงไว้นั้น เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือไม่ โดยขอให้พิจารณากฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง มิใช่เฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและขอให้พิจารณารัฐธรรมนูญประกอบด้วย ข้าพเจ้าจึงทำหนังสือนี้ให้ปรากฏว่าข้าพเจ้าได้แจ้งข้อมูลสำคัญต่อท่านแล้ว