วันที่ 12 มกราคม 2567 ที่รัฐสภา กรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทย และอันดามัน หรือ โครงการแลนด์บริดจ์ ในสัดส่วนพรรคก้าวไกล ประกอบด้วย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 9 และ รศ.สมพงษ์ ศิริโสภณศิลป์ แถลงข่าวภายหลังการประชุม กมธ.โครงการแลนด์บริดจ์ พิจารณาอนุมัติรายงานการศึกษาฯ
โดยนายจุลพงศ์กล่าวว่า สส.พรรคก้าวไกลที่นั่งอยู่ กมธ.โครงการแลนด์บริดจ์ ได้ทักท้วงถึงความไม่สมบูรณ์ของรายงานและความจำเป็นที่ กมธ. ต้องได้รับคำชี้แจงเพิ่มเติมจากสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบศึกษาโครงการ ก่อนที่ กมธ. จะพิจารณาอนุมัติรายงานผลการศึกษาได้
นายจุลพงศ์ กล่าวว่า เช่น คำถามเรื่องท่อส่งน้ำมันที่ไม่มีความชัดเจน การเปลี่ยนแปลงแผนการศึกษาสภาพแวดล้อมซึ่งอาจขัดกับมติคณะรัฐมนตรีที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ และเรื่องความน่าเชื่อถือในการประเมินความต้องการของบริษัทเดินเรือที่จะมาใช้โครงการแลนด์บริดจ์ เรื่องการประเมินสินค้าที่จะมาใช้โครงการ ซึ่งตนมองว่ามีความเกินจริง
รวมถึงเรื่องการประเมินความแออัดของการเดินเรือในช่องแคบมะละกาและท่าเรือสิงคโปร์ก็ยังมีข้อสงสัยมาก ในกรณีการประหยัดต้นทุนการขนส่งเมื่อเทียบกับการเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกาก็ยังไม่ชัดเจน รวมทั้งไม่สามารถให้ตัวเลขทางการเงินที่สมเหตุผลในการคำนวณผลตอบแทนทางการเงินและทางเศรษฐกิจได้
นอกจากนี้บทสรุปของรายงานการศึกษาโครงการที่ สนข. เคยทำ ยังขัดแย้งกับบทสรุปของรายงานการศึกษาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ได้ว่าจ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการศึกษา มีผลสรุปว่าโครงการแลนด์บริดจ์ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
ในขณะที่ผลการศึกษาของโครงการ ผลตอบแทนการลงทุนสูงถึง 17% อาจทำให้นายกรัฐมนตรีสื่อข้อมูลผิดกับนักลงทุนต่างประเทศ ในระยะ 2-3 ปีนี้รัฐบาลได้ใช้งบประมาณถึงกว่า 68 ล้านบาทในการศึกษา แต่จนถึงวันนี้โครงการก็ยังไม่สมบูรณ์
ดังนั้นวันนี้ กมธ. จากพรรคก้าวไกลทั้งหมด 4 คนจึงขอถอนตัวและลาออกจาก กมธ. ดังกล่าว โดยให้มีผลทันที
ด้านน.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ในการประชุม ได้มีการซักถามค้างอยู่จากวันที่ 22 ธันวาคม 2566 กับทาง สนข. และที่ปรึกษาที่จัดทำรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ซึ่งยังคงถกเถียงกันในหลายประเด็นเพื่อจะได้ข้อสรุปว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยอย่างไร และโครงการนี้จะมีความคุ้มค่ามากแค่ไหน
วันนี้ทางผู้ชี้แจง ตอบคำถามไปได้คำถามเดียวคือกรณีสินค้าเทกอง ทางประธาน กมธ. ก็สั่งปิดประชุม ซึ่งเรื่องนี้ตนมองว่ามีปรากฏอยู่ในรายงานการประชุมครั้งที่แล้ว ที่บอกไว้ชัดเจนว่าจะต้องให้ทางหน่วยงานตอบคำถามจนสิ้นสงสัย แต่วันนี้กลายเป็นว่าเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาตัวรายงานซึ่งหมายความว่าเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งๆ ที่คำตอบหลายข้อยังไม่ครบถ้วน ตนได้ร้องขอให้เชิญหน่วยงาน เช่น สนข. แต่ประธานก็ไม่ได้เชิญ กลับพยายามลงมติเพื่อรับรองตัวรายงาน
จึงเป็นเหตุให้พรรคก้าวไกลขอไม่เป็นตรายางในการอนุมัติหรือไม่อนุมัติตัวรายงานฉบับนี้ เนื่องจากยังไม่มีการส่งข้อมูลมาให้พิจารณา และท้ายที่สุด ยังไม่มีการขอขยายอายุของ กมธ. ชุดนี้ออกไปเพื่อให้มีการพิจารณาอย่างต่อเนื่อง
ส่วน รศ.สมพงษ์ กล่าวว่า ข้อมูลที่เป็นประเด็นสำคัญคือข้อมูลสินค้าถ่ายลำ (Transshipment) ซึ่งก็คือสินค้าต่างประเทศ เพราะความคุ้มค่าของโครงการนี้ เป้าหมายหลักคือสินค้าถ่ายลำประมาณ 78% เป้าหมายที่ 2 คือการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ ซึ่งเราเห็นด้วยว่าต้องทำและเร่งทำ แต่ด้วยประมาณการเช่นนี้ เท่ากับชะตากรรมของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ของปริมาณสินค้าถ่ายลำ ที่จนถึงตอนนี้ยังขาดความชัดเจนว่ามีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีโอกาสเข้ามาชี้แจง
ขณะที่ นายศุภณัฐ กล่าวว่า เจตนารมณ์หลักของเราทุกคน คือหาคำตอบให้พี่น้องประชาชนว่าจริงๆ แล้วโครงการแลนบริดจ์ จะกำไรหรือขาดทุน จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยได้หรือไม่ แต่สิ่งที่พยายามทำร่วม 90 วัน ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมรายงานของ สศช. จึงแตกต่างจากรายงานของ สนข. และข้อมูลหลายอย่างที่อยู่ในรายงานที่มีการลงมติเห็นชอบ ก็ยังใช้ข้อมูลของ สนข. เกือบทั้งหมด โดยไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงตัดข้อมูลของ สศช. ทิ้ง
ในฐานะ กมธ. ซึ่งเป็นผู้ศึกษา เราไม่ควรเลือกว่าจะหยิบหรือไม่หยิบข้อมูลไหนมาใช้ เพราะหน้าที่ของเราคือนำข้อมูลทั้งหมดใส่ในรายงานอย่างรอบด้าน แต่ผลสรุปที่ออกมาอาจเรียกได้ว่าเป็นการแทงหวยว่าเราหยิบข้อมูลของ สนข. เป็นตัวตั้ง เมื่อเป็นแบบนี้เชื่อว่าจะสร้างความเสียหายแก่ประเทศ เพราะเรากำลังนำข้อมูลด้านเดียวจากหน่วยงานราชการไปขายต่างประเทศ ถ้าต่างประเทศย้อนกลับมาว่าศึกษาแล้วไม่คุ้มทุน นั่นหมายความว่าประสิทธิภาพในการศึกษาทำวิจัยของรัฐบาลไทยแย่หรือไม่
“หรือรัฐบาลไทยกำลังไปหลอกให้ต่างชาติมาลงทุน นี่เป็นเหตุผลว่าถ้ารายงานออกมาเป็นแบบนี้ เราใช้กลไกกรรมาธิการหรือสภาฯ เป็นตรายาง จะสร้างความเสียหายต่อผมในฐานะผู้ศึกษา และเสียหายต่อรัฐสภา รวมถึงผู้ที่นำข้อมูลเหล่านี้ไปอ้างอิงเพื่อเชื้อเชิญต่างประเทศมาลงทุน”
นายศุภณัฐ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าเราไม่ได้ขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ แต่หน้าที่ของกรรมาธิการในรอบนี้คือศึกษาเฉพาะตัวโครงการแลนด์บริดจ์ ถ้าโครงการจะขาดทุนแต่สร้างผลประโยชน์ให้เศรษฐกิจภาคใต้ในอนาคต รัฐบาลก็ต้องชี้แจงว่าทำอย่างไร แต่ ณเวลานี้ ข้อมูลตัวเลขที่ตนขอไปตั้งแต่วันแรกก็ยังไม่ได้รับ หน่วยงาน สศช. กับ สนข. ก็ยังไม่มีการคุยกัน