ภาพจำของชาวโลกที่มีต่อ ซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก ประเทศเคร่งศาสนายากจะเข้าถึง และยังมีเรื่องราวการละเมิดสิทธิมนุษยชนและปัญหาสิทธิสตรี แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของซาอุดิอาระเบียเปลี่ยนไปแล้ว โดยตั้งแต่ปี 2016 เริ่มมีการประกาศ แผน Vision 2030 ของ มกุฎราชกุมารโมฮัมมัด บิน ซัลมาน ที่ต้องการเปลี่ยนซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว และเพื่อให้เศรษฐกิจมีความหลากหลายมากขึ้น จนพลิกโฉมประเทศซาอุดีอาระเบียให้เป็นประเทศแห่งอนาคต
ล่าสุด ร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งแรกของซาอุดีอาระเบียเปิดแล้วในย่านการฑูตของกรุงริยาด ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ โดยเปิดให้นักการทูตที่ไม่ใช่มุสลิมเข้าถึงได้ แม้จะจำกัดเพียงเฉพาะกลุ่มแต่ก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับอาณาจักรมุสลิมที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมสูง ซึ่งประเทศนี้ถูกห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาตั้งแต่ปี 1952 หลังจากเจ้าชายซาอุดิอาระเบียสังหารนักการทูตอังกฤษด้วยความโกรธเคือง การดื่มจึงเป็นสิ่งต้องห้ามภายใต้ศาสนาอิสลาม และประชากรในท้องถิ่นของซาอุดีอาระเบียส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนา แต่นั่นไม่ได้ทำให้หยุดแอลกอฮอล์หยุดไหลเข้าสู่ราชอาณาจักรตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แต่นั่นไม่ได้ทำให้หยุดแอลกอฮอล์หยุดไหลเข้าสู่ราชอาณาจักรตลอดหลายปีที่ผ่านมา แหล่งข่าวเปิดเผยกับ CNBC ว่า การเปิดร้านขายแอลกอฮอล์นี้ยังมีจุดประสงค์เพื่อจัดการกับปัญหาการลักลอบนำเข้า ซึ่งพบเจอกับนักการทูต แต่เดิมเจ้าหน้าที่สถานทูตต่างประเทศสามารถนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อเก็บไว้ในบริเวณสถานทูตได้ แต่ก็มักจะนำเข้าในปริมาณมากแล้วจำหน่ายในตลาดมืด เช่น วอดก้าหนึ่งขวด ทั่วไปมีราคาระหว่าง 500-600 เหรียญสหรัฐในตลาดมืด Johnnie Walker Blue Label หนึ่งขวดมีราคาระหว่าง 1,000- 2,000 เหรียญสหรัฐ
ร้านขายแอลกอฮอล์แห่งแรกของประเทศ จะเปิดให้บริการเฉพาะนักการทูต ที่ไม่ได้เป็นชาวมุสลิมเท่านั้น และมีการกำหนดเงื่อนไขการใช้บริการ เช่น ต้องเป็นผู้มีอายุไม่ต่ำกว่า 21 ปี ต้องมีการลงทะเบียนกับกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนเข้าใช้บริการ ต้องแต่งตัวให้เหมาะสมและไม่สามารถส่งตัวแทนมาใช้บริการแทนได้ โดยมีการจำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
ซาอุดิอาระเบียเผชิญกับ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ มกุฏราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ปกครองโดยพฤตินัยของราชอาณาจักรขึ้นสู่อำนาจ
แคมเปญ Vision 2030 ของเขา เป็นความพยายามมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของประเทศใหม่ ดึงดูดการท่องเที่ยว และสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจให้ห่างไกลจากน้ำมัน นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายที่สร้างงานใหม่สำหรับประชากรที่เป็นเยาวชนซาอุดีอาระเบียที่กำลังเติบโต โดย 70% มีอายุต่ำกว่า 30 ปี
นอกจากนี้โดยได้เห็นการปฏิรูปเสรีนิยมมาหลายครั้งโดยเปิดทางให้ ผู้หญิงขับรถ โรงภาพยนตร์ และเทศกาลดนตรี แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในซาอุดิอาระเบียถือเป็นเรื่องต้องห้ามมาโดยตลอด ขณะที่ผู้นำของประเทศต้องการปรับปรุงให้ทันสมัย และดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติเข้ามามากขึ้น แต่อาจต้องเผชิญกับความไม่พอใจของประชากรในประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาอย่างลึกซึ้ง
Vision 2030 ประกอบด้วย 3 เสาหลัก
Vibrant Society การสร้างสังคมที่มีชีวิตชีวา เป็นเมืองที่พร้อมโอบกอดวัฒนธรรม รวมถึงความบันเทิงและกีฬาที่จะสร้างสีสันใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น
Thriving Economy เศรษฐกิจยิ่งใหญ่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล ลงทุนสร้างพื้นฐานของประเทศใหม่ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และพัฒนาสินค้าส่งออกใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมัน
Ambitious Nation พลิกโฉมซาอุดีอาระเบียให้กลายเป็นประเทศที่ไม่พึ่งพารายได้จากน้ำมัน สร้างรัฐบาล E-Government เพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ประชากร เพิ่มจำนวนประชากร ให้ความสำคัญกับสิทธิสตรีและความเท่าเทียม
ที่มาข้อมูล