นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอซเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในการกล่าวหัวข้อ : รัฐปรับตัว ธุรกิจปรับแผน พลิกวิกฤติสู่โอกาส ในงานสัมนา "GEOPOLITICS 2024" จุดปะทุสงครามใหญ่ พลิกวิกฤติโลก สู่โอกาสประเทศไทย ซึ่งจัดโดย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจว่า โครงการแลนด์บริดจ์เป็นโครงการสำคัญที่ควรจะเกิดขึ้นเพื่อทำให้ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานในการขนส่งขนาดใหญ่ที่ช่วยให้เป็นข้อได้เปรียบเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ต้องเรียนว่าโครงการแลนด์บริดจ์ไม่ควรมองเป็นแค่โครงการด้านโลจิสติกส์ แต่เป็นการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมเหมือนกับพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC)
โดยมีการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกเพื่อใช้เป็นเส้นทางการขนส่งทางเรือ และการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นภาพที่เกี่ยวโยงกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor :SEC) ที่รัฐบาลต้องชี้ให้เห็นภาพรวมของการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ในส่วนนี้ด้วย
นอกจากนี้ โครงการแลนด์บริดจ์ยังมีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วยเนื่องจากเป็นเส้นทางเชื่อมโยงการขนส่งที่เชื่อมกับเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 (BRI) ของจีน ซึ่งช่วยแบ่งเบาความแออัดของช่องแคบมะละกา และเป็นเส้นทางที่จีนให้ความสำคัญในเชิงภูมิรัฐศาสตร์
นางสาวจรีพร กล่าวอีกว่า ประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจได้รวดเร็วคือประเทศที่มีท่าเรือเป็นทางออกทางทะเล เหมือนกับสิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งมีท่าเป็นทางออกทะเลจำนวนมาก โดยซึ่งดังกล่าวนี้ขึ้นอยู่กับการวางตำแหน่ง หากสิงคโปร์คิดว่าจะเก็บเกาะไว้เป็นธรรมชาติที่สวยงาม ก็จะเป็นบาหลี หรือฮาวาย แต่ก็คิดว่าจะทำให้ประเทศเป็นเกาะที่มีควาสำคัญทางเศรษฐกิจจึงสร้างท่าเรือและมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ทำให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วประเทศไทยก็ต้องมองเห็นโอกาสในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในปี 67 จะเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับประเทศไทยโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ซึ่งมีการจับตาไปที่การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นและมีการคาดการณ์ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วสถานการณ์ความตรึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯนั้นไม่ได้หมดไปแม้แต่ในช่วงโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ความตรึงเครียดระหว่างมหาอำนาจสองประเทศก็ไม่ได้ลดลง
สำหรับแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตเข้ามายังประเทศไทยเป็นแนวโน้ม หรือเทรนด์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมา 1–2 ปี และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจีนนั้นย้ายฐานเข้ามาเร็วมากมีการเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อลงทุนในพื้นที่อีอีซีเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งนักลงทุนจากจีน และไต้หวันซึ่งที่เข้ามานอกจากรถไฟฟ้า (EV) ยังมีอิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์ ที่เป็นซัพพลายเชนที่จะเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง