นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันแนวโน้มของกกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่ผลประกอบการโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มไฟฟ้า พลังงาน สถาบันการเงินของรัฐ (SFIs) รวมถึงโรงรับจำนำของรัฐ
โดยแนวโน้มการเข้ามาใช้บริการของสนง ธนานุเคราะห์ (สธค.) เพิ่มมากขึ้น ซึ่ง สธค. เป็นโรงรับจำนำเพื่อสังคม และนำเทคโนโลยีมาใช้ให้ความสะดวกของผู้รับบริการ ทำให้มูลค่ายอดจำนำปีละเกือบ 20,000 ล้านบาท คิดเป็นของที่นำมาจำนำมากกว่า 1.1 ล้านชิ้น ซึ่งเป็นการจำนำทองถึง 88%
ทั้งนี้ สะท้อนในรายได้ปี 66 ประมาณ 885 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 42 ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายและกำไรใกล้เคียงกันประมาณ 400 กว่าล้านบาท สธค. จ่ายเงินนำส่งรัฐกว่า 40%
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกฎหมายของโรงรับจำนำของรัฐกำหนดให้รับจำนำได้มูลค่าไม่เกิน 1 แสนบาท แต่เนื่องจากปัจจุบันราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้น จึงอยู่ระหว่างพิจารณาขอเพิ่มวงเงินรับจำนำได้เป็นไม่เกิน 2 แสนบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
นายธิบดี กล่าวว่า ในเดือนก.พ.67 นี้ สคร.จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ซึ่งมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เพื่อรายงานความคืบหน้าการดำเนินงาน 4 รัฐวิสาหกิจที่อยู่ในแผนฟื้นฟู ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.), องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.), บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ และบมจ.อสมท (MCOT)