ที่จังหวัดตรัง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายชิดชนก สุขมงคล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนจากสมาคมบลูคาร์บอนโซไซตี้ เดินทางลงพื้นที่บ้านเกาะมุก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เพื่อติดตามสถานการณ์หญ้าทะเลเสื่อมโทรม และรับฟังปัญหาของชาวบ้าน
เมื่อเรือมาถึงบริเวณหน้าเกาะมุก มีการวางทุ่น 2 จุด เป็นทุ่นเตือนเรือชาวประมงและเรือท่องเที่ยว เป็นบริเวณ” พื้นที่คุ้มครองหญ้าทะเลและพะยูน เขตจำกัดความเร็วของเรือและห้ามขับเรือไล่ตามพะยูน” เป็นเขตคุ้มครองพะยูนกลัวใบพัดเรือจะทำอันตรายพะยูน เมื่อวางทุ่นเสร็จก็เดินทางเข้าสะพานเทียบเรือเกาะมุก โดยมีการบรรยายสรุปจาก นายสันติ นิลวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ทะเลอันดามันตอนล่าง ถึงสถานการณ์หญ้าทะเล
ในเวลาเดียวกันมีพะยูนมากินหญ้าที่บริเวณสะพานท่าเทียบเรือเกาะมุก ขนาดความยาว 2 เมตรเศษ น้ำประมาณ 100-120 กิโลกรัม กำลังว่ายน้ำกินหญ้าริมชายหาดอย่างมีความสุข โดยจะกินหญ้าประมาณ 4-5 นาทีแล้วจะโผล่หัวหายใจประมาณ 20-30 วินาที ทำให้พล.ต.อ.พัชรวาท เดินไปดูด้วยความสนใจ ซึ่งในระยะนี้ เมื่อหญ้าทะเลบริเวณเกาะลิบงตายจำนวนมากเป็นพื้นที่กว้าง ทำให้พะยูนว่ายน้ำมาหาหญ้าทะเลกินที่บริเวณด้านหน้าเกาะมุก เพิ่มมากขึ้นโดยจะปักหลักกินหญ้าทะเลเป็นเวลาหลายเดือน
ในเวลาต่อมาก็เดินทางไปยังธนาคารปูม้าบนเกาะมุก เพื่อรับฟังแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง การขยายพันธุ์ปูม้า นำปูม้าที่ตั้งไข่มาเพาะเลี้ยงให้ออกลูกก่อนที่จะปล่อยกลับลงทะเลเพื่อเป็นอาหารให้มนุษย์นำไปบริโภคเป็นอาหาร ซึ่งในวันนี้ก็ได้มีการปล่อยปูม้า โดยมีนายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าฯตรังมาร่วมปล่อยปูม้ากับ คณะรัฐมนตรีพัชวาสอีกด้วย
พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า จังหวัดตรังมีแหล่งหญ้าทะเลมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ และจะต้องมีความสมบูรณ์ในอันดับ 1 ตลอดไป ทั้งนี้หญ้าทะเลที่มีมากอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ซึ่งครอบคลุมพื้นที่หาดหยงหลำ เกาะมุก และพื้นที่อ่าวขาม รวมทั้งเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเกาะลิบง จังหวัดตรัง
เมื่อต้นเดือน ก.พ. เริ่มมีแนวโน้มที่หญ้าทะเล ที่จ.ตรัง ลดลง ต้องรีบฟื้นฟูจึงไม่ได้นิ่งนอนใจสั่งการให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการแก้ไขในระยะสั้นอย่างเร่งด่วน และวางแผนฟื้นฟูในระยะยาว เนื่องจากหญ้าทะเลสำคัญสำหรับวงจรชีวิตเป็นแหล่งอาหาร ธรรมชาติสำหรับสัตว์น้ำขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ โดยเฉพาะพะยูนและเต่าทะเล ที่ประเทศไทยต้องอนุรักษ์และเพิ่มจำนวนให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อีกในอนาคต
ทั้งนี้ได้กำหนด 3 มาตรการ เพื่อฟื้นฟูสภาพเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเล อาทิ กำหนดเขตการใช้ประโยชน์แหล่งหญ้าทะเล การควบคุมผู้ประกอบการให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นตามรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) กำหนดขอบเขตแนวหญ้าทะเลด้านนอกชายฝั่งทะเล ป้องกันไม่ให้มีการใช้ประโยชน์พื้นที่แหล่งหญ้าทะเลอย่างไม่ถูกวิธี
หาก 3 มาตรการดังกล่าวดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อได้ว่าแหล่งหญ้าทะเล จังหวัดตรัง สามารถฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์ได้“หัวใจสำคัญของการฟื้นฟูหญ้าทะเล คือ ความร่วมมือในการบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายชุมชนชายฝั่ง หากทุกภาคส่วนจะต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเต็มที่ต่อเนื่อง หญ้าทะเลจะกลับมาสมบูรณ์และไม่เข้าสู่ภาวะสูญพันธุ์อีกต่อไปและยืนยันว่าจะทำให้หญ้าทะเลจังหวัดตรังกลับมาสมบูรณ์ให้ได้”
ส่วนการเพิ่มจำนวนพะยูนอย่างยั่งยืน ได้มีดำริให้จัดตั้งสถาบันวิจัยเพื่อการอนุรักษ์พะยูนและสัตว์ทะเลหายาก เป็นโครงการที่กระทรวงทรัพย์ฯ ลงนามบันทึกความร่วมมือกันระหว่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สมาคมบลูคาร์บอนโซไซตี้ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ซึ่งสถาบันวิจัยจะเป็นหน่วยงานหลักในการอนุรักษ์พะยูนฯ และประสานแนวทางการบริหารจัดการอนุรักษ์พะยูนครบวงจรในทุกมิติ จะสามารถดูแลและอนุรักษ์พะยูนได้อย่างดี
ขอเพียงให้พวกเราทุกคนมีความตระหนักในการอนุรักษ์พะยูน และมีการปลุกจิตสำนึกของสังคม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้มีส่วนช่วยดูแลพะยูนให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป ที่ผ่านมาขอชื่นชมพี่น้องประชาชนใน จ.ตรัง นักท่องเที่ยว และภาคส่วนต่างๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และจัดการปัญหาขยะทะเล ที่สำคัญต้องขอขอบคุณสมาคมบลูคาร์บอนโซไซตี้ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ที่ร่วมกันจัดตั้งสถาบันวิจัยเพื่อการอนุรักษ์พะยูนและสัตว์ทะเลหายาก เพื่อช่วยดูแล อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะพะยูนและหญ้าทะเลให้สมบูรณ์อยู่คู่กับทะเลตรังสืบไป
นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้จัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณจังหวัดตรังและจังหวัดกระบี่ ให้เป็นรูปธรรม พร้อมกับประชุมหารือร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา และกำหนดแนวทางการจัดการในรายละเอียด ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชุมชนและนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงเผยแพร่ข่าวสารองค์ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหญ้าทะเลสู่ประชาชนทุกกลุ่มทุกระดับ เมื่อประสานการดำเนินการในระยะสั้นแล้ว กรมฯ จะรีบกำหนดนโยบายหรือมาตรการฟื้นฟูหญ้าทะเลอย่างถาวร เพื่อให้หญ้าทะเลสามารถฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติ
รวมถึง การบริหารจัดการเชิงพื้นที่เป็นรายพื้นที่ ซึ่งจะมีการศึกษาเพื่อกำหนดเขตเขตรักษาพืชพันธุ์ ออกจากเขตการใช้ประโยชน์เช่นเขตอนุญาตสำหรับกิจกรรมประมงพื้นบ้าน รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยเพื่อการอนุรักษ์ การฟื้นฟูหญ้าทะเล ที่สำคัญคือจะมีแนวทางการอนุรักษ์พะยูน สร้างกลุ่มและขยายเครือข่ายช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายาก กับชุมชน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเพิ่มการลาดตระเวนคุ้มครองเชิงคุณภาพ (Smart Patrol) ในการเฝ้าระวังพะยูน และแหล่งที่อยู่อาศัยและลดผลกระทบจากอุบัติเหตุทางทะเลต่อพะยูน ซึ่งจะเป็นมาตรการสำคัญที่ให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว
นายสันติ นิลวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ทะเลอันดามันตอนล่างเปิดเผยว่า จากการสำรวจพะยูนล่าสุดเมื่อปี 2566 พบพะยูนจำนวน 194 ตัวซึ่งมีแนวโน้มพะยูนเพิ่มขึ้น ส่วนสาเหตุที่มีการ พบพยูนในพื้นที่อื่นๆในช่วงนี้โดยเฉพาะพื้นที่เกาะมุก อำเภอกันตัง จากการสำรวจทุกครั้งจะพบพะยูนไม่เกินจำนวน 10 ตัวแต่ในครั้งนี้เมื่อปี 2566 พบว่าพะยูนอยู่ที่เกาะมุกโดยรวมกลุ่มกันจำนวน 34 ตัว แสดง ให้เห็นว่าพะยูนมาอยู่พื้นที่เกาะมุกเพื่อต้องการหาแหล่งอาหารสำหรับการดำรงค์ชีวิตของพะยูน
สำหรับพื้นที่ที่มีการสำรวจและพบว่าหญ้าทะเลตายและเสื่อมโทรมจากเนื้อที่หญ้าทะเลมีประมาณ 15,000 กว่าไร่ในพื้นที่ตำบล เกาะลิบงพบว่าหญ้าทะเลเสื่อมโทรมและตายไปประมาณ 70% หรือ 10,500 ไร่ของพื้นที ยังมีการปกคลุมของหญ้าทะเลประมาณ4ถึง 5% เท่านั้น ส่วนสาเหตุที่หญ้าทะเลเสื่อมโทรมและตายลงนั้นยังไม่แน่ชัดว่าเกิดมาจากสาเหตุใดกันแน่ซึ่งในเรื่องนี้จะต้องมีการสำรวจและใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์ส่วนมาตรการที่ทางรัฐมนตรีได้วางไว้ 3 มาตรการนั้น ก็จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตาม แผนที่กำหนด