นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากร ได้กำหนดให้ทุกบริษัท จะต้องส่งเงินได้ของพนักงานเป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ป้องกันการปลอมแปลงหนังสือรับรองการหัก ณ ที่จ่าย หรือ 50 ทวิ ภายในรอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2567 (เริ่มยื่นวันที่ 1 ม.ค. – 8 เม.ย.68)
“จากที่ก่อนหน้านี้ กรมยังใช้ระบบสมัครใจในการนำส่งการหักภาษี ณ ที่จ่าย ว่าจะนำส่งเป็นกระดาษหรือทาง ไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ตั้งแต่ปีภาษี 2567 นี้เป็นต้นไป ทุกบริษัทจะต้องนำส่งเป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะทำให้พนักงานที่มีเงินเดือนทุกรายที่ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถเรียกดู ใบรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือ 50 ทวิ ในระบบ My Tax Account ตั้งแต่การยื่นภาษีประจำปี ในช่วง 1 ม.ค.68 ต้นไป”
สำหรับการยื่นเป็น ไฟล์อิเล็กทรอนิกส์นั้น จะช่วยลดขั้นตอนการทำงานของบริษัทที่เป็นผู้หัก เงินได้ โดยไม่ต้องเก็บเอกสารเป็นกระดาษอีกต่อไป ซึ่งเป็นภาระและต้นทุนในการจัดเก็บ และที่สำคัญ เป็นการป้องกันการปลอมแปลงหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมา มีพนักงานลูกจ้างของบริษัทมีการปลอมแปลงหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายกันมาก
นอกจากนั้น ยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานที่เป็นลูกจ้าง ที่มีเงินได้จากหลายแหล่ง สามารถเห็น การหักภาษี ณ ที่จ่าย ของบริษัทต่างๆ ที่เป็นผู้จ่ายเงินได้ให้กับตนเอง ไม่จำเป็นต้องไปตระเวนเพื่อขอหนังสือรับรองจากแต่ละบริษัท
ทั้งนี้ ในอนาคตกรมสรรพากร จะเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมด ให้สามารถเข้าสู่ระบบ My Tax Account ซึ่งเป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษี แต่ข้อมูลบางอย่างการเชื่อมต่อผ่านระบบออนไลน์ ยังไม่สามารถทำได้
ยกตัวอย่าง เช่น ข้อมูลของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่นายจ้าง หัก จากเงินเดือนของลูกจ้าง แล้วนำส่งให้กองทุนไปบริหาร ซึ่งข้อมูลการหักเงินนำส่งอยู่กับนายจ้าง แต่กรมจำเป็นต้องได้ข้อมูลโดยตรงจากกองทุน ดังนั้นการวางระบบเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจึงจำเป็นต้องใช้เวลา
“แผนของกรมสรรพากรคือ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเงินได้และค่าลดหย่อนต่างของพนักงาน เข้ามาไว้ในระบบทั้งหมด และเป็นการส่งมาล่วงหน้า เพื่อให้กรมสรรพากร สามารถแจ้งไปยังนายจ้างว่า ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายในระดับที่พอดี ไม่หักไว้เกิน จนต้องมายื่นขอคืนในภายหลัง”
นายวินิจ กล่าวว่า โดยในปีภาษี 2565 (วันที่ 1 มกราคม – 10 เมษายน 2566) มีการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวม 11.4 ล้านราย เป็นผู้ยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 96% ของผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และมีผู้ยื่นขอคืนภาษี 4 ล้านราย
สำหรับการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2566 นั้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 5 กุมภาพันธ์ 2567 มีผู้ยื่นมาแล้ว 2.1 ล้านราย มากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีการยื่นแบบภาษีมาเพียง 1.7 ล้านแบบ และคาดว่าปีนี้จะมีผู้ยื่นภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นแน่นอน