KEY
POINTS
หลังจากที่ประชุม ครม. มีมติให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ เร่งให้ความช่วยเหลือสหกรณ์เรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับสมาชิก ซึ่ง กรมฯ ได้ออกจดหมายขอความร่วมมือ ให้สหกรณ์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงให้ต่ำกว่า 4.75% ต่อปี เพื่อให้สมาชิกมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า หากนับตั้งแต่เริ่มขอความร่วมมือในช่วงเดือน ธ.ค. 66 จนถึงปัจจุบัน เกือบจะ 3 เดือนแล้ว พบว่า มีสหกรณ์ออมทรัพย์ที่สามารถดำเนินการได้ทันที 130 แห่ง หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของสหกรณ์ออมทรัพย์กว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ
ในส่วนของสหกรณ์อื่น ๆ นอกเหนือจาก 130 แห่งแรกแล้ว มีสหกรณ์อีกเกือบ 600 แห่ง ที่แสดงความประสงค์ที่จะจะมาเข้าร่วมตามมาตรการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ต้องทยอยดำเนินการ เพราะบางแห่งดอกเบี้ยเงินกู้สูงถึง 6.5% ต่อปี ไม่สามารถลดลงได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว เพราะจะส่งผลต่องบประมาณในภาพรวม
“สหกรณ์ที่ยังลดดอกเบี้ยไม่ได้ มีไม่กี่สาเหตุ หลัก ๆ ก็คือปัญหาต้นทุนการเงิน และความคาดหวังจากสมาชิกที่มีสูง เรียกง่าย ๆ ว่า บางแห่งเงินขาด บางแห่งเงินเกิน แต่เท่าที่พูดคุย ทุกแห่งมีความพยายามที่จะทำให้ได้ สหกรณ์ใดที่มีปัญหาเรื่องแหล่งเงิน ได้แนะนำไปกู้เงินจากแบงก์รัฐแล้ว เพราะดอกเบี้ยถูก”
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้มี ข้อเสนอแนะต่อสหกรณ์ ให้คัดสมาชิกกลุ่มที่หลังจากหักหนี้แล้วมีเงินคงเหลือต่อเดือนต่ำกว่า 30% มาทำการแก้ปัญหาเป็นกลุ่มแรก ต้องเร่งปรับโครงสร้างหนี้ นำมาเข้าโครงการต่าง ๆ เช่น ขยายระยะเวลาชำระหนี้จนถึงอายุ 75 ปี เพื่อให้ค่างวดต่อเดือนถูกลง ไปจนถึงการชำระหนี้เฉพาะในส่วนที่เกินหุ้นี่ถือครอง
สำหรับประเด็นการทำธุรกิจของสหกรณ์ที่กำหนดให้สามารถดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสหกรณ์แต่ละประเภทเท่านั้น โดยปัจจุบันมีสหกรณ์หลาย 7 ประเภท ได้แก่
ซึ่งแต่ละประเภท มีบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน หากจะทำธุรกิจนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของสหกรณ์เดิม ก็ไม่ยาก สามารถจัดตั้งสหกรณ์ใหม่ ภายใต้สหกรณ์เดิม แต่เป็นสหกรณ์ที่ดำเนินการในคนละวัตถุประสงค์ เป็นอีกสาขาย่อยในการให้บริการ โดยสมาชิกสหกรณ์ที่จัดตั้งใหม่นี้ ก็คือสมาชิกจากสหกรณ์หลักนั่นเอง
นอกจากนี้ สหกรณ์แต่ละประเภทยังสามารถนำผลิตภัณฑ์ไปฝากขายกับสหกรณ์อื่น ๆ ได้ หรือ หากต้องการลงทุนเงินฝาก ก็สามารถนำเงินไปฝากกับสหกรณ์ออมทรัพย์ด้วยกันเองได้ รวมถึงสามารถลงทุนอื่น ๆ เพิ่มเติมได้
อ้างอิงตามประกาศของคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ (คพช.) เรื่องข้อกำหนดการฝากและลงทุนอย่างอื่นของสหกรณ์ โดยสามารถลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ และหุ้นของบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่มี Credit rating A- ลบขึ้นไป จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบ จาก ก.ล.ต. ซึ่งมีสหกรณ์นำเงินไปลงทุนรวมกว่า 6 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ขอความร่วมมือสหกรณ์ออมทรัพย์ทุกแห่ง ให้เข้าร่วมส่งข้อมูลกับ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เพื่อป้องกันความเสี่ยงของสหกรณ์ เพราะจะทำให้ทั้งสถาบันการเงินและสหกรณ์ทราบข้อมูลหนี้ของลูกค้า และนำมาใช้ประกอบการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ ป้องกันปัญหาการก่อหนี้ซ้ำซ้อน
ปัจจุบัน เกือบทุกสหกรณ์ใช้โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปอยู่แล้ว เพียงแค่ทำการเชื่อมข้อมูลกับเครดิตบูโร ก็จะเห็นข้อมูลทั้งหมด ทั้งกลุ่ม SML , NPL และ TDR แม้ปัจจุบันสหกรณ์จะมีหนี้เสียน้อยเพียงแค่ 1% จากสินเชื่อรวม เพราะเป็นการหัก ณ ที่จ่ายกับบัญชีเงินเดือน แต่ปัญหาคือ ตัวสมาชิกยังสามารถไปกู้เงินจากธนาคารได้ ทำให้ไม่มีเงินเหลือพอสำหรับการดำรงชีพ ก็ต้องไปหาแหล่งอื่น ๆ อีก เช่น กดเงินสดจากบัตรเครดิต ไปจนถึงหนี้นอกระบบ