ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่า ปรับค่าจ้างขั้นต่ำรอบ 2 ปีพ.ศ. 2567 หลังชักคะเย่อกันมาหลายรอบ ฝ่ายการเมืองกดดันหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยตั้งเป้า 400 บาทเป็นตัวตั้งวิธีการค่อยไปว่ากันภายหลัง
ก่อนหน้ามีการปรับค่าจ้าง ขั้นต่ำรอบแรกไปเมื่อ 1 มกราคม ในการประชุมไตรภาคีครั้งนั้นภาครัฐพยายามดันค่าจ้างให้สูงตามที่พรรค การเมืองหาเสียงแต่ด้วยมีพรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2560 ออกมาในสมัยรัฐบาลที่แล้วกำหนดแนวทางในการปรับจะต้องพิจารณาตามสูตรที่อิงตามหลักเศรษฐศาสตร์ โดยนำปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราสมทบของแรงงาน (Labor Contribution) ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ผลิตภาพแรงงาน (Productivity) อัตราเงินเฟ้อ และตัวแปรเชิงคุณภาพ
โดยค่าจ้างปัจจุบันที่ปรับไปก่อนหน้านี้ใช้สูตรดังกล่าวไปจบที่ 17 อัตรา จังหวัดที่เพิ่มต่ำสุด 330 บาท (นราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา) จังหวัดที่เพิ่มสูงสุด 370 บาทคือภูเก็ต สำหรับกทม.และปริมณฑล วันละ 363 บาท ซึ่งอัตราค่าจ้างที่ปรับอยู่ระหว่าง 2 – 16 บาท ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.37% พรรคการเมือง ซึ่งเป็นขั้วใหญ่ในรัฐบาลมีความพยายามกดดันให้มีการพิจารณาปรับสูตรการคำนวน เพื่อให้ค่าจ้างตามเป้าที่กำหนด
นั่นเป็นการแสดงชัดเจนว่าพรรคการเมืองเข้ามาแทรกแซงกลไกปรับค่าจ้าง ซึ่งกฎหมายกำหนดเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้างหรือ “ไตรภาคี” มีการแต่งตั้งอนุกรรมการเป็นนักวิชาการพิจารณาแก้ไขสูตร ในที่สุดได้นำเข้ามาประชุมในบอร์ดค่าจ้าง เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
ดร.ธนิต ระบุว่า ผลการพิจารณาในครั้งนั้นยังยืนยันใช้สูตรเดิมเพราะเหมาะสมดีอยู่แล้ว เพียงแต่ปรับเปลี่ยนให้ใช้เงินเฟ้อ (Inflation) เดิมใช้ค่าเฉลี่ย 4 – 5 ปี เปลี่ยนเป็น 1 ปี ในปีที่ปรับค่าจ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพจริง ในความเป็นจริงเห็นว่าค่าเฉลี่ยน่าจะดีกว่าเพราะเงินเฟ้อของไทยค่อนข้างต่ำ ปี 2567 ไตรมาสแรกเงินเฟ้อติดลบ ทั้งปีอาจโตได้เพียง 1 – 1.5%
นอกจากนี้มีการต่อรองเกี่ยวกับปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ดัชนีผู้บริโภค สภาวะของนายจ้างและและความเดือดร้อนของลูกจ้าง ประเด็นที่แทรกเข้ามาทางกระทรวงแรงงานให้พิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำแยกตามพื้นที่ เขต เทศบาลและ ประเภทกิจการ แต่ติดขัดทำไม่ได้ เนื่องจากการเก็บข้อมูลของหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ไม่ได้ลงลึกถึงระดับนั้น
ดังนั้นการรอมชอมไปจบที่การปรับค่าจ้างรอบ 2 ให้เฉพาะภาคท่องเที่ยวนำร่องเฉพาะ 10 จังหวัด เหตุผลเนื่องจากภาค ท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวชัดเจน ปีที่ผ่านมาพื้นตัวได้เกือบ 80% รายได้ 2.38 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 28.042 ล้านคน คาดว่าปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ 3.0 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน เกือบเท่ากับก่อนวิกฤตโควิด-19
อย่างไรก็ตามในการประชุมไตรภาคีครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณาประเด็นปรับค่าจ้างท่องเที่ยว 10 จังหวัดเฉพาะโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป ซึ่งเป็นโรงแรมหรูและขนาดใหญ่ต้องมี ลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท เป็นการปรับเฉพาะบางพื้นที่มีเพียงภูเก็ตที่ปรับเหมายกจังหวัด
ขณะที่จังหวัดอื่น ๆ เช่น กทม.เฉพาะเขตปทุมวันและเขตวัฒนา อนาคตอาจขยายไปโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเขตอื่น ๆ จังหวัดเชียงใหม่เฉพาะเทศบาลเมือง จังหวัดกระบี่เฉพาะตำบลอ่าวนาง จังหวัดชลบุรีเฉพาะเขตเมืองพัทยา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เฉพาะเขตหัวหิน จังหวัดสงขลาเฉพาะหาดใหญ่ จังหวัดสุราษฎร์ธานีเฉพาะเกาะสมุย จังหวัดพังงานเฉพาะตำบลคึกคัก จังหวัดระยองเฉพาะเขตตำบลบ้านเพ
จะเห็นได้ว่า จังหวัดที่กล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ มีรายได้สูงและมีการจ่ายค่าจ้างแรงงานไทย เฉลี่ยประมาณ 465 บาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายของแรงงานตามอัตภาพเฉลี่ยอยู่ที่ 412 บาท แรงงานกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์คือ แรงงานต่างด้าว ซึ่งธุรกิจโรงแรมอาจใช้จำนวนไม่มาก
ทั้งนี้ไทม์ไลน์การปรับค่าจ้างรอบ 2 ทางกระทรวงแรงงานจะนำเสนอครม.เป็นวาระเพื่อทราบ โดยจะประกาศใช้วันที่ 13 เมษายนเป็นของขวัญวันสงกรานต์ เป็นการปรับเฉพาะบางจังหวัดและบางพื้นที่ มีการแย้มเป็นนัยว่าค่าแรงที่ปรับ 400 บาทจะมีการติดตามผลและเตรียมศึกษาเพื่อที่จะประกาศไปพื้นที่อื่น และอาจขยายไปสาขาอาชีพและธุรกิจอื่น เช่น ภาคการผลิตและบริการ
แสดงให้เห็นว่าพรรคใหญ่ในขั้วรัฐบาลยังคงเดินหน้าปรับค่าจ้าง ซึ่งจะกลายเป็นบรรทัดฐานว่าการปรับค่าจ้างปีหนึ่งอาจมีได้หลายรอบโดยไม่ มีหลักเกณฑ์ใด ๆ รองรับ อาจจะกระทบต่อการกำหนดต้นทุนราคาสินค้า โดยเฉพาะภาคส่งออกและนักลงทุนต่างชาติลังเลที่จะลงทุนในไทย
“การแทรกแซงค่าจ้างของพรรคการเมืองจะไปว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะกกต. ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการกำหนดกติกาหาเสียงไม่ได้ออกมาห้ามหรือส่งสัญญานว่า ผิดกฎหมายหรือทำไม่ได้ เลือกตั้งครั้งหน้า จะเห็นสโลแกนของพรรคการเมืองต่างๆ นำค่าจ้างสูงมาใช้หาเสียง ค่าจ้างขั้นต่ำอาจโดดไปวันละ 1,000 บาท ใกล้เคียงกับสิงคโปร์ แต่ภาวะเศรษฐกิจของไทยต่างกันลิบลับ”
ดร.ธนิต มองว่า พรรคการเมืองหรือรัฐบาลเข้ามาระยะสั้น ๆ จึง หวังผลแบบเร็ว ๆ ประเภท “Quick Win” ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นต้นทุนที่พรรคการเมืองไม่ได้จ่ายแต่เป็นต้นทุนของชาติ ไทยเป็นประเทศพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูงเกือบครึ่งหนึ่งของอุตสาหกรรมส่งออกและโซ่อุปทานเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานเข้มข้น ค่าแรงที่สูงเกินความพอดีจะส่งผลต่อการแข่งขันด้านราคาและไม่จูงใจให้เกิดการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ
อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นจำนวนมากอาจย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศที่ค่าแรงต่ำเหมือนที่เคยเกิดหลังปี 2557 ขณะที่สินค้าราคาถูกจากจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฯลฯ ใช้สิทธิ FTA นำเข้าในอัตรา “ภาษีศูนย์” เข้ามาแย่ง ตลาดจะทำให้อุตสาหกรรมและภาคการผลิต โดยเฉพาะ SMEs ที่แข่งขันไม่ได้อาจทยอยปิดตัว นึกไม่ออกว่า ถึงตรงนั้นแล้วประเทศไทยจะอยู่ได้อย่างไร