วันนี้ (19 พฤษภาคม 2567) นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อยู่ระหว่างการผลักดันร่างแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) หรือในภาษากฎหมายเรียกว่า ลูกจ้างที่ทำงานเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สิน มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา (โอที) และค่าตอบแทนสำหรับการทำงานที่เกินกว่าวันละ 8 ชม. ในอัตราที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสอดคล้องกับยุคปัจจุบัน
ทั้งนี้หากนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา หรือทำงานเกินกว่าวันละ 8 ชม.ในวันทำงานปกติ นายจ้างจะต้องจ่ายค่าล่วงเวลาสำหรับลูกจ้างรายเดือน หรือค่าตอบแทนสำหรับลูกจ้างที่ไม่ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนไม่น้อยกว่า 1.25 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำงาน
ส่วนในวันหยุดนายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาหรือค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 2.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำงาน
"โดยสรุปการออกร่างแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือ ลูกจ้าง รปภ. จะมีสิทธิได้รับเงิน 2 ส่วน ทั้งเงินเดือนหรือค่าจ้าง กับค่าโอทีหรือค่าตอบแทนจากการทำงานเกินเวลาปกติ เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว" โฆษกกระทรวงแรงงาน ระบุ
ปัจจุบันจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ประเทศไทยมีลูกจ้าง รปภ.ประมาณ 400,000 คน ที่ผ่านมาลูกจ้างเหล่านี้ไม่มีสิทธิได้รับโอที ตามกฎกระทรวงกำหนดงานที่ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาและค่าล่วงเวลาในวันหยุด พ.ศ.2552 ขณะที่ลูกจ้างบางส่วนได้เสนอให้ทบทวนกฎหมายเพราะบังคับใช้มากว่า 15 ปีแล้ว
ขณะเดียวกันงาน รปภ. เป็นงานที่ต้องใช้กำลังแรงกาย มีระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานส่งผลต่อสุขภาพของลูกจ้าง เป็นงานที่ต้องใช้ทักษะและความรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่ง รมว.แรงงาน มีความห่วงใยและให้ความสำคัญเรื่องนี้จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งผลักดันการแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว และได้รับฟังความคิดเห็นของทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาสังคมแล้ว เพื่อขยายความคุ้มครองให้ลูกจ้างได้รับค่าล่วงเวลาทั้งในวันทำงานปกติและวันหยุดอย่างเหมาะสม และยังเป็นการยกระดับทางอาชีพอีกด้วย
ล่าสุดกระทรวงแรงงาน ได้ส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาแล้วเรียกว่า ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าล่วงเวลาและค่าตอบแทนการทำงานที่เกินกว่าวันละแปดชั่วโมง ในงานเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินอันเป็นหน้าที่การทำงานปกติของลูกจ้าง พ.ศ. ... เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและผ่านขั้นตอนการตรวจสอบทางกฎหมายแล้วก็จะประกาศใช้ต่อไป โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อลูกจ้าง รปภ. และครอบครัวต่อไป