แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้จัดทำความเห็นเสนอเข้ามายังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อประกอบการพิจารณาเรื่อง วงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 122,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้สำหรับการดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ตามนโยบายรัฐบาล
สำหรับสาระสำคัญของความเห็นที่เสนอมานั้น ในส่วนของ ธปท. ได้ทำหนังสือเสนอความเห็นที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของครม. โดยนางอลิศรา มหาสันทนะ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ซึ่งเสนอความเห็นแทนผู้ว่าการ ธปท. มีเนื้อหาว่า ธปท. พิจารณาแล้วไม่ขัดข้องกับวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่สำนักงบประมาณเสนอ
โดยการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จะต้องเป็นไปตามมาตรา 21 แห่งพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่กำหนดให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมกระทำได้เมื่อมีเหตุผลความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเงิน ระหว่างปีงบประมาณ โดยไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไปได้ รวมถึงต้อง เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
ทั้งนี้ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในครั้งนี้ ส่งผลให้มีการปรับเพิ่มการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง จึงควรพิจารณาจัดการกับความเสี่ยงทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและต้นทุนการระดมทุนของภาครัฐและเอกชน
อีกทั้งควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้รัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงดำเนินนโยบายภาษีที่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้รัฐบาลเท่าที่จำเป็น
ขณะที่ สศช. มีข้อสังเกตว่า วงเงินงบประมาณ รายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ส่งผลให้ ภาระหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นและพื้นที่ทางการคลังลดลงในช่วง ปีงบประมาณ 2567-2568 อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปี 2567 ควรเร่งเบิกจ่ายให้เม็ดเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 และ ปีงบประมาณ 2568 เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลังในช่วงถัดไป โดยการลดขนาดการขาดดุลงบประมาณให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งกำหนดเป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจนในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และจัดสรรงบชำระหนี้ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้และดอกเบี้ย
ทั้งในส่วนของหนี้รัฐบาลและหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รัฐให้ดำเนินโครงการของรัฐที่ครบกำหนดชำระในแต่ละปีงบประมาณ เพื่อให้มีพื้นที่ทางการคลังเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง รักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อยืนนาน และลดความเสี่ยงต่อความยั่งยืนทางการคลัง
ส่วนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า ไม่ขัดข้องหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ และกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะแล้ว กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาให้ความเห็นชอบได้ตามที่เห็นสมควร