วันนี้ (18 มิถุนายน 2567) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบถึงผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2567 โดย IMD World Competitiveness Center โดยในภาพรวมประเทศไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันอยู่ที่อันดับ 25 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ปรับดีขึ้น 5 อันดับจากอันดับที่ 30 ในปีที่แล้ว
“ได้รายงานให้ที่ประชุมครม.รับทราบถึงผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2567 แล้ว โดยเป็นข่าวดีที่ไทยอันดับดีขึ้นจนขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน โดยผลการจัดอันดับที่สำคัญ นั่นคือ ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ หรือ Economic Performance ของไทย ปรับดีขึ้นถึง 11 อันดับ จากอันดับที่ 16 มาเป็นอันดับที่ 5 โดยความสำคัญส่วนหนึ่งมากจากการค้าระหว่างประเทศที่ดีขึ้น และในปีก่อนดุลบัญชีเดินสะพัดก็ปรับตัวดีขึ้นด้วย” นายดนุชา กล่าว
ทั้งนี้ในภาพรวมของการจัดอันดับของ IMD ไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันอยู่ที่อันดับ 25 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ปรับดีขึ้น 5 อันดับจากอันดับที่ 30 ในปีที่แล้ว ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน เป็นรองสิงคโปร์ ซึ่งอยู่อันดับที่ 3 และมาเลเซีย อันดับที่ 27
โดยการจัดอันดับปี 2567 นี้ อันดับของไทยได้แซงมาเลเซียขึ้นเป็นที่ 2 ของอาเซียน แต่เมื่อพิจารณาผลคะแนนสุทธิลดลงจาก 74.54 คะแนน มาอยู่ที่ 72.51 คะแนน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเขตเศรษฐกิจอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่ในปีนี้มีภาพรวมผลคะแนนสุทธิลดลง
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาปัจจัยใช้ในการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในปี 2567 มีรายละเอียดที่สำคัญในแต่ละด้าน ดังนี้
ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance)
ภาพรวมอันดับดีขึ้นจากปี 2566 ถึง 11 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 5 ในปี 2567 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศ ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 23 อันดับ จากอันดับ 29 ในปี 2566 มาอยู่ที่อันดับ 6 ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศ อันดับดีขึ้นจากปีก่อน 5 อันดับ จากอันดับที่ 44 ในปีที่แล้ว มาอยู่ที่อันดับ 39
ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency)
ภาพรวมอันดับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันดับจากปีที่แล้ว โดยปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีขึ้น คือการคลังภาครัฐ ปรับอันดับดีขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้ว 3 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 22 ปัจจัยย่อยที่มีอันดับคงที่ 2 ปัจจัย ย่อยคือ นโยบายภาษี อันดับ 8 และกรอบการบริหารสังคม อันดับ 47 และปัจจัยย่อยที่มีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว 2 ปัจจัยย่อยคือ กรอบการบริหารภาครัฐ ลดลง 5 อันดับ จากอันดับ 34 มาอยู่ที่อันดับ 39 และกฎหมายธุรกิจ ลดลง 8 อันดับ จากอันดับ 31 มาอยู่ที่อันดับ 39
ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency)
ภาพรวมปรับอันดับดีขึ้นจากปี 2566 เล็กน้อย 3 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 20 ในปี 2567 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ (ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 7 อันดับ จากอันดับ 22 ในปี 2566 มาอยู่ที่อันดับ 15 และทัศนคติและค่านิยม ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย 1 อันดับ จากอันดับ 19 มาอยู่ที่อันดับ 18
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)
ภาพรวมอันดับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันดับจากปีที่แล้ว โดยไม่มีปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีขึ้นจากปีที่แล้ว ในขณะที่ มีปัจจัยย่อยที่มีอันดับคงที่ 2 ปัจจัยย่อยคือ โครงสร้างด้านเทคโนโลยี อันดับ 25 และการศึกษา อันดับ 54 และปัจจัยย่อยที่มีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว 3 ปัจจัยย่อยคือ สาธารณูปโภคพื้นฐาน ลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 22 มาอยู่ที่อันดับ 23 โครงสร้างด้านวิทยาศาสตร์ ลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 39 มาอยู่ที่อันดับ 40 และสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ลดลง 2 อันดับ จากอันดับ 53 มาอยู่ที่อันดับ 55
อย่างไรก็ตามจากเขตเศรษฐกิจในสมาชิกประชาคมอาเซียนรวม 10 เขตเศรษฐกิจ มีเพียง 5 เขตเศรษฐกิจ คือไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ที่ได้รับการจัดอันดับโดย IMD ซึ่งเขตเศรษฐกิจที่มีอันดับความสามารถในการแข่งขันสูงสุดของอาเซียนในปี 2567 ยังคงเป็นสิงคโปร์อันดับ 1
ทั้งนี้เป็นที่น่าสนใจว่าทั้งไทย และอินโดนีเซีย ต่างสามารถพัฒนาอันดับขีดความสามารถขึ้นมาสูงกว่ามาเลเซียในปีนี้ โดยไทยได้รับการจัดอันดับที่ 25 และอินโดนีเซียที่อันดับ 27 ในปีนี้ ตามมาด้วยมาเลเซีย อันดับ 34 และฟิลิปปินส์ อันดับ 52 ตามลำดับ
ส่วนผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2567 ภาพรวมทั่วโลก มีดังนี้