แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 25 มิถุนายน 2567 นี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เตรียมเสนอที่ประชุม ครม. ขอต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จากธนาคารออมสิน วงเงิน 500 ล้านบาท ของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือ "โรงรับจำนำของรัฐ" ออกไปอีกครั้ง
หลังจากอายุสัญญาที่เคยขอขยายไปก่อนหน้านี้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2567 เพื่อเป็นเงินทุนสำรองสำหรับหมุนเวียนรับจำนำและสำหรับใช้จ่ายในการบริหารเงินให้เกิดสภาพคล่องในกิจการ
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยมีมติเห็นชอบการต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารออมสิน วงเงิน 500 ล้านบาท โรงรับจำนำของรัฐ ไปแล้ว โดยต่ออายุออกไปอีก 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 และจะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2567 นี้
สำหรับเหตุผลของ การขอต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี วงเงิน 500 ล้านบาท ของสำนักงานธนานุเคราะห์ หรือ โรงรับจำนำของรัฐ นั้น ในการขยายระยะเวลาครั้งก่อน กระทรวง พม.ให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นเงินทุนสำรองหมุนเวียนรับจำนำและสำหรับใช้จ่ายในการบริหาร เพื่อให้มีสภาพคล่องในกิจการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2567
โดยการกู้เงินประเภท เบิกเงินเกินบัญชีนั้น หาก สธค. ไม่ได้เบิกมาจะไม่เสียดอกเบี้ยจ่าย ซึ่ง สธค. มีความสามารถในการชำระหนี้เงินกู้ได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถนำส่งเงินรายได้แผ่นดิน ตามที่กระทรวงการคลัง กำหนด จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารทางการเงินการคลังของรัฐบาลในภาพรวม
สำหรับสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือ โรงรับจำนำของรัฐ เป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี สังกัดกรม พัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง โดยธุรกิจหลักของสำนักงานธนานุเคราะห์ คือ การ ดำเนินงานโรงรับจำนำของรัฐภายใต้ชื่อ สถานธนานุเคราะห
ปัจจุบัน สถานธนานุเคราะห์ เปิดให้บริการจำนวน 45 สาขา ดังนี้
ส่วนผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือ โรงรับจำนำของรัฐ ในปี 2566 มีรายละเอียดดังนี้