เปิดมูลค่าการลงทุนกิจการปิดโรงงาน 3 อันดับแรกในไทยรวมกว่า 4 พันล้าน

26 มิ.ย. 2567 | 07:54 น.
อัปเดตล่าสุด :26 มิ.ย. 2567 | 07:55 น.

เปิดมูลค่าการลงทุนกิจการปิดโรงงาน 3 อันดับแรกในไทยรวมกว่า 4 พันล้าน หลังผ่านพ้น 5 เดือนแรกของ ปี 67 เผยอันดับหนึ่งเป็นกลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์โลหะ และพลาสติก

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงสถานการณ์การเปิด-ปิดกิจการโรงงานช่วง 5 เดือนปี 67 ว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีเงินลงทุนเลิกกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย 

  • กลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 2,297 ล้านบาท (เช่น PCB) 
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ 1,456  ล้านบาท (โครงสร้างเหล็ก) 
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก 930 ล้านบาท (เช่น ชิ้นส่วนพลาสติก) 

ด้านกลุ่มโรงงานเปิดใหม่ที่มีเงินลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 

  • กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร 29,644 ล้านบาท (เช่น อาหารสัตว์สำเร็จรูป) 
  • กลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี 18,474  ล้านบาท (เช่น ปุ๋ยเคมี) 
  • กลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 12,378 ล้านบาท (เช่น PCB) 
     

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ ซึ่งเป็นกลุ่มกิจการที่อยู่ใน 3 อันดับแรกของมูลค่าเงินลงทุนสูงสุดทั้งการเลิกกิจการและตั้งโรงงานใหม่ พบว่า มีเงินลงทุนในการเลิกกิจการ 2,297 ล้านบาท 

เปิดมูลค่าการลงทุนกิจการปิดโรงงาน 3 อันดับแรกในไทยรวมกว่า 4 พันล้าน

แต่มีการเปิดกิจการใหม่ด้วยเงินลงทุน 12,378 ล้านบาท มากกว่าเลิกกิจการถึง 5 เท่า แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่เข้ามาเปิดกิจการใหม่ในไทยมากขึ้น 

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวอีกว่า ข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) วันที่ 12 มิถุนายน 2567 ประกอบกับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) พบว่าภาพรวมในปี 2567 ตั้งแต่มกราคม-พฤษภาคม 2567 มีโรงงานปิดกิจการ 488 โรงงาน 

ขณะที่มีโรงงานเปิดกิจการใหม่ 848 โรงงาน โดยจำนวนโรงงานเปิดใหม่สูงกว่าปิด 74% และเมื่อพิจารณามูลค่าเงินลงทุนจากการเลิกประกอบกิจการ พบว่า มีจำนวน 14,042 ล้านบาท 

ส่วนการเปิดโรงงานใหม่มีเงินลงทุน 149,889 ล้านบาท ซึ่งมีเงินลงทุนมากกว่าปิดกิจการกว่า 10 เท่า และในด้านการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม 

การปิดกิจการมีการเลิกจ้างงาน 12,551 คน ในขณะที่การเปิดโรงงานใหม่มีการจ้างงานถึง 33,787 คน ซึ่งมีความต้องการแรงงานมากกว่า 21,236 คน 

นอกจากนี้ เมื่อรวมกับโรงงานเดิมที่มีการขยายกิจการจะมีอีกจำนวนกว่า 126 โรงงานเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น 11,748  ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 4,989 คน