คลังยันผู้ประกอบการพร้อมยกเลิก “ดิวตี้ฟรี” ขาเข้า รัฐไม่ต้องจ่ายชดเชย

04 ก.ค. 2567 | 03:40 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.ค. 2567 | 03:42 น.

“จุลพันธ์” รมช.คลัง ยันยกเลิก “ดิวตี้ฟรี” ขาเข้า 8 สนามบิน ผู้ประกอบการพร้อมร่วมมือ ชี้รัฐไม่ต้องจ่ายชดเชยสัมปทานเพิ่ม คาดใช้เวลา 1 เดือนเสร็จ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวในประเทศกว่า 2 หมื่นล้าน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบแนวทางยกเลิก ร้านค้าปลอดภาษี ขาเข้า ใน 8 สนามบิน ว่า เรื่องนี้ภาครัฐไม่ได้ใช้อำนาจยกเลิกด้วยกฎหมาย แต่เป็นการเห็นพ้องด้วยดีกับผู้ประกอบการ และไม่มีการเรียกร้องขอชดเชยใด

โดยเป้าหมายเพื่อต้องการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และสอดรับกับมาตรฐานสากลที่หลายสนามบินทั่วโลก เมื่อลงจากเครื่องบินจะไม่มีร้านซื้อสินค้าปลอดภาษีเข้าไปใช้ในประเทศได้อีก ดังนั้น คลังจึงเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนไปตามเกณฑ์สากล โดยยกเลิกร้านปลอดภัยภาษีขาเข้า เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และช่วยให้รัฐจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

“เมื่อปลายปีที่แล้ว ครม. และนายกฯ มีมติให้กระทรวงการคลังทำการศึกษาเรื่องนี้ ประกอบกับที่ผ่านมาทาง บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ก็ได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการที่ได้รับสัมปทานร้านปลอดภาษีขาเข้าทั้ง 3 ราย ใน 8 สนามบิน ซึ่งทุกฝ่ายยอมรับที่จะยกเลิกพื้นที่ร้านค้าปลอดภาษีขาเข้าโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ  เมื่อเป็นเช่นนั้น คลังจึงนำเรื่องเสนอ ครม. อีกครั้ง”

สำหรับการดำเนินการดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมายกรมศุลกากรใดๆ ส่วนขั้นตอน หลังจากนี้ เมื่อ ครม.มีมติรับทราบแล้ว ก็จะส่งเรื่องให้กระทรวงการคลัง และ AOT เข้าไปพูดคุยกับผู้ประกอบการ เพื่อดำเนินการยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า ซึ่งน่าจะใช้เวลา 1 เดือนก็จะแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ ยืนยันว่าทางผู้ประกอบการ ดิวตี้ฟรี ทั้ง 3 ราย ได้ทำหนังสือแสดงความยินดีที่จะยกเลิกร้านค้าภาษีขาเข้าโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ และที่สำคัญไม่ได้เรียกร้องให้รัฐบาลชดเชยจากการสูญเสียรายได้ด้วย เพราะทั้งหมดล้วนมีสัมปทานร้านค้าปลอดภาษีขาออกอยู่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจมากกว่า

ดังนั้น การยกเลิกร้านค้าปลอดภาษีขาเข้าจึงไม่กระทบต่ออย่างมีนัยยะ และยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีการยืดอายุสัมปทานให้กับผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตัวเลขยอดจำหน่ายสินค้าผ่านร้านปลอดภาษีขาเข้า ผ่าน 8 สนามบินรวมกัน ในปี 66 ที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 3,400-3,500 ล้านบาท ซึ่งหวังว่าเมื่อมีการยกเลิกแล้วเงินจำนวนนี้จะถูกกระจายไปใช้จ่ายไปในประเทศ ช่วยร้านค้าขนาดกลาง ขนาดเล็กได้ประโยชน์

ทั้งนี้ เมื่อบวกกับผลกระทบทางการท่องเที่ยว เชื่อว่าจะมาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นให้ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวมากขึ้น และทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจโดยรวมกว่า 20,000 ล้านบาท

“การยกเลิกร้านค้าปลอดภาษีขาเข้า จะทดลองทำก่อนเป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นจะนำผลลัพธ์ไปวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และเสนอให้ ครม.พิจารณาดูว่าควรทำอย่างไร”

ส่วนข้อกังวลที่ว่า การยกเลิกร้านปลอดภาษีขาเข้า จะทำให้คนไทยหรือนักท่องเที่ยว หันไปซื้อสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้นแทน และทำให้เงินไหลออกไปนอกประเทศหรือไม่นั้น เรื่องเหล่านี้กระทรวงการคลังมองในหลายมิติ

"ยอมรับว่าอาจมีบางกลุ่มที่ซื้อจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มได้แต่ภาพรวมต่อเศรษฐกิจก็ยังมีสูงกว่า ขณะที่คนที่ซื้อจากร้านปลอดภาษีขาออก และกลับมารับตอนขาเข้าก็ยังทำได้อยู่ มตินี้ไม่ได้มีการห้ามเอาไว้"