นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยผลสำรวจสถานการณ์ด้านหนี้สินกิจการของเอสเอ็มอี (SMEs) ไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลรายไตรมาสต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7
สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2567 มีการสอบถามผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 2,701 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 19 – 30 มิถุนายน 2567 พบว่า ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีภาระหนี้สินมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย มาอยู่ที่ 64.3% จาก 63.9% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในและธุรกิจการเกษตร สำหรับวัตถุประสงค์การกู้ยืมเงินของ SME ประมาณ 90.9% ยังเป็นการกู้เพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ แต่มีแนวโน้มกู้เงินเพื่อไปชำระหนี้สินเดิมมากถึง 5.1% เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าแสดงให้เห็นถึงการสร้างวงจรกู้หนี้ใหม่ไปใช้หนี้เก่าที่อาจต้องเผชิญภาวะดอกเบี้ยสูงขึ้น อีกทั้งไม่ได้ก่อให้เกิดการลงทุนเพิ่มในระบบ
อย่างไรก็ดี สภาวะหนี้สินในไตรมาส 2/67 พบว่า SMEs ที่มีภาระหนี้สิน มีสัดส่วนการกู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นซึ่งมีสัดส่วนถึง 45.1% โดยเฉพาะธุรกิจรายย่อยที่มีสัดส่วนการกู้เงินจากแหล่งเงินทุนนอกระบบมากถึง 51.0% ส่วนใหญ่เป็นการกู้ยืมจากเพื่อน/ญาติพี่น้อง
และยังพบว่า SMEs กว่า 21.3% มีสัดส่วนการเป็นหนี้จากแหล่งเงินทุนทั้งในระบบและนอกระบบเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงสัดส่วนการเป็นหนี้จากบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงยังคงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะธุรกิจขนาดย่อมและธุรกิจรายย่อย
SME ที่มีการกู้ยืมเงิน 24.7% มีแนวโน้มที่การขอยื่นกู้ไม่ผ่านเพิ่มมากขึ้นเพราะกำลังเผชิญกับปัญหาการชำระหนี้ทั้งการชำระล่าช้าหรือชำระได้ไม่เต็มจำนวนส่งผลต่อประวัติเครดิตของ SME ทำให้ลดโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อต่อไป เช่น SME สาขาโรงแรม/เกสต์เฮาส์/บังกะโล สาขาขนส่งมวลชน (ไม่ประจำทาง) และสาขาที่เกี่ยวข้องกับบริการท่องเที่ยว มีสาเหตุจากธุรกิจอยู่ในช่วงชะลอตัวตามฤดูกาล อีกทั้งการประเมินปล่อยสินเชื่อไม่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ รวมถึงระยะเวลาสัญญาสินเชื่อที่ได้รับสั้นเกินไป จึงส่งผลต่อความกังวลต่อการชำระเงินงวด
ส่วน SMEs ที่ไม่มีภาระหนี้สิน มีความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างชัดเจนเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนในกิจการและปรับปรุงสถานประกอบการ แต่อุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงสินเชื่อหรือแหล่งเงินทุนคือคุณสมบัติที่ไม่ผ่านเงื่อนไข ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐและที่เกี่ยวข้อง ควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเพื่อช่วยให้ SMEs มีตลาดเพิ่มขึ้น สร้างรายได้จนสามารถนำไปชำระหนี้ได้
ควรเข้าให้ความช่วยเหลือในการช่วยผ่อนคลายภาระในการชำระหนี้ ช่วยเหลือในการแก้ไขหนี้นอกระบบ และต้องการให้ภาครัฐออกสินเชื่อที่มีรูปแบบระยะเวลาสัญญายาวนานเพื่อเอื้อต่อความสามารถในการชำระเงินคืน รวมถึงมาตรการแก้ปัญหาหนี้สินในระยะยาว