ป.ป.ช. จับตาโครงการเงินดิจิทัล นโยบายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา-เสี่ยงทุจริต

02 ส.ค. 2567 | 05:38 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ส.ค. 2567 | 06:12 น.

"นิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช." เผยจับตา โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท" ชี้ นโยบายเปลี่ยนแปลง-สุ่มเสี่ยงทุจริตหรือไม่ ยืนยัน ไม่ก้าวก่าย ฝ่ายบริหาร

วันที่ 2 สิงหาคม 2567 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้ามามีส่วนร่วมสอดส่องดูแลโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า ได้เสนอมาตรการต่าง ๆ ไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ตอนนี้ ป.ป.ช.ได้เฝ้าระวังว่า โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะมีการขับเคลื่อนอย่างไรต่อไป

โดยกลไกในการขับเคลื่อนของฝ่ายบริหาร หรือ นโยบายที่อาจจะสุ่มเสี่ยง ป.ป.ช.เฝ้าระวังอยู่ ซึ่งป.ป.ช.สามารถขอข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ได้ แต่ในส่วนการใช้เงินดิจิทัลผิดวัตถุประสงค์หรือผิดเงื่อนไขและวิธีการใช้เงิน เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะไปกำกับดูแลควบคุม เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

“ป.ป.ช.ดูในภาพรวมเรื่องนโยบายเป็นหลัก เพื่อไม่ให้ไปก้าวก่ายฝ่ายบริหาร โดยเราดูว่าจะมีอะไรสุ่มเสี่ยงหรือไม่ เช่น วันนี้จะมีการปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่และสุ่มเสี่ยงหรือไม่ หรือ ดูตามข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช.ที่ส่งไปยังรัฐบาลก่อนหน้านี้ ส่วนการปฏิบัติเป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่ต้องขับเคลื่อนอยู่แล้ว”นายนิวัติไชยกล่าว 

รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ดิจิทัลวอลเล็ต ที่ส่งมายังครม. 8 ข้อ ดังนี้ 

1.รัฐบาลควรศึกษา วิเคราะห์ การดำเนินโครงการตามนโยบายฯ รวมทั้งชี้แจงความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม ว่าผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการจะไม่ตกแก่พรรคการเมือง นักการเมือง หรือเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายที่อาจเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบาย 

รวมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการของรัฐบาลอย่างแท้จริง เช่น เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย หรือ กลุ่มเปราะบาง พร้อมกับต้องมีขั้นตอนและวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อให้สามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

2.การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง และพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนั้น มีความแตกต่างกัน กกต.ควรตรวจสอบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือไม่ มาประกอบการพิจารณาด้วย มิฉะนั้น จะเป็นบรรทัดฐานสำหรับพรรคการเมืองสามารถหาเสียงไว้อย่างไร เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามที่ได้หาเสียงไว้

3.การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ควรคำนึงถึงความคุ้มค่า และความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งผลกระทบและภาระทางการเงินการคลังในอนาคต ซึ่งรัฐบาลพึงต้องใช้ความระมัดระวัง พิจารณาระหว่างผลดี ผลเสียที่จะต้องกู้เงินจำนวน 500,000 ล้านบาท 

4.การดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ ประกอบด้วย

  • รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (มาตรา 172) 
  • พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (มาตรา 53) 
  • พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6) 
  • พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 
  • กฎหมาย คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย

5.คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีการประเมินความเสี่ยงในการดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท อย่างรอบด้าน โดยกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการบริหารความเสี่ยง และการป้องกันการทุจริต และมีกระบวนการในการตรวจสอบทั้งก่อน ระหว่าง และหลังจากการดำเนินโครงการ

6.ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้กับโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ครม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสม รวมทั้งระยะเวลา และงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการดำเนินโครงการเป็นแจกเงินเพียงครั้งเดียวโดยให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน

7.จากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้จากการศึกษา และตัวทวีคูณทางการคลัง รวมถึงตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รวบรวมและประมวลข้อมูลจากงานศึกษาของธนาคารโลกและ IMF มีความเห็นตรงกันว่า ในช่วงเวลาที่ศึกษาอัตราความเจริญเติบโตของประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ เพียงแต่ชะลอตัวเท่านั้น 

ดังนั้น ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน รัฐบาลควรพิจารณาและให้ความสำคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในกรณีที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ควรพิจารณากลุ่มประชาชนเป้าหมายที่เปราะบางที่สุด ซึ่งต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง เช่น กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน เป็นต้น

8.หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลควรช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจนที่เปราะบาง ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น โดยแจกจากแหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่เงินกู้ ตามพระราชบัญญัติเงินกู้ และจ่ายในรูปเงินบาทปกติในอัตราที่เหมาะสม เพื่อพยุงการดำรงชีวิตของกลุ่มประชาชนที่ยากจน โดยการกระจายจ่ายเงินเป็นงวด ๆ หลายงวดผ่านระบบแอป “เป๋าตัง” และที่สำคัญคือไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว