นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังเข้าพบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ และยกระดับอุตสาหกรรมไทย ว่า
จากการหารือ ส.อ.ท. ได้นำเสนอมาตรการ 2 ส่วนหลัก รวม 8 ข้อ ประกอบด้วยข้อเสนอเร่งด่วน 5 ข้่อ และข้อเสนอระยะกลาง และระยะยาว 3 ข้อ ประกอบด้วย
นายอิศเรศ กล่าวอีกว่า ผลจากการหารือดังกล่าวพบว่าหลายประเด็นรัฐบาลมีการศึกษาอยุ่แฃ้ว เพราะรู้ว่าเป็นปัยหา และต้องการช่วยเหลือภาคเอกชน โดยเฉพาะนางสาวแพทองธาร ถือว่ามีจุดเด่นที่สำคัญ คือ รับฟังเสียงของเอกชน รวมถึงมีการจดบันทึกข้อมูล และหลายประเด็นทีมงานของนายกรัฐมนตรีต้องการให้มีการหารือเป็นรายสัปดาห์ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา และข้อสรุปที่ชัดเจน
"เมื่อทีมงานมีแนวทางดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเองก็เห็นพ้อง และคิดว่าน่าจะดำเนินการตามที่เสนอ เพราะต้องการแก้ไขปัญหาให้กับภาคเอกชน"
อย่างไรก็ดี เอกชนยังพบว่าทีมงานของนายกรัฐมนตรีมีการผสมผสานระหว่างทีมงานชุดเก่า เช่น กระทรวงการคลังก็มากันครบมทั้ง 3 คน ทั้งรมว. และรมช.คลัง รวมถึงทีมงานคนรุ่นใหม่ ดังนั้น จึงมองว่าน่าจะเป็นทีมที่มีศักยภาพ จากแนวคิดของคนรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ
อย่างไรก็ตาม ในการสะท้อนความเห็นของภาคเอกชน เรื่องพลังงาน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีก็มีความเข้าใจในประเด็นที่ภาคเอกชนต้องการ คือ การคืนเงินค่าประกันมิเตอร์ให้กับเอสเอ็มอี เพื่อบรรเทาผลกระทบในภาคเศรษฐกิจปัจจจุบัน โดยระบุว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมคระกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
ทั้งนี้ ส.อ.ท. มองเห็นถึงการทำงานร่วมกันในทิซทางที่ดี เพราะที่ผ่านมา กพช. จะเน้นการทำงานในเชิงแก้ปัญหา เช่น เรื่องค่าไฟ โดยเชื่อว่าควรจะต้องมีคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านพลังงาน (กรอ.พลังงาน) เพื่อทำงานร่วมกัน และสะท้อนความเห็นก่อนขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ที่ประชุม กพช.
ในการหารือร่วมกันดังกล่าว นายกฯ และทีมงานต้องการให้เพิ่มการสื่อสารระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการทำงานของนายกฯ และการรับฟังความเห็นจากภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนการทำงาน โดยถือเป็นข้อดีที่เอกชนมองว่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจร่วมกันได้ หลังจากนี้เมื่อมีการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วเสร็จ ก็จะได้ร่วมกันทำงานต่อไป