รัฐบาล พับชื่อโครงการเงิน Digital Wallet เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2567

17 ก.ย. 2567 | 09:48 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ย. 2567 | 10:05 น.

มติครม.ล่าสุดวันนี้ 17 ก.ย. 67 เห็นชอบ “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ” พับชื่อเดิม “โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet”

ชัดเจนแล้วว่า มติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ล่าสุดวันนี้ 17 ก.ย. 67 ได้เห็นชอบ “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ” นั่นเท่ากับว่าเป็นการไม่ใช้ชื่อ “โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการโดยจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย

 

คือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวนไม่เกิน 12.4 ล้านราย และคนพิการจำนวนไม่เกิน 2.15 ล้านราย เป็นจำนวน 10,000 บาท/คน จะเริ่มทยอยจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน พ.ศ 2567 เป็นต้นไป

โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสํานักงานกฤษฎีกา ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้เห็นชอบในหลักการและเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ  

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ส่วนรายละเอียดเชิงลึกของโครงการดิจิทัล วอลเล็ต กระทรวงการคลังจะเป็นผู้แถลง ซึ่งจะแจกเป็นเงินสด แต่เราจะทำเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจในเฟสแรกก่อน ส่วนเฟสต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้แถลง และจากตัวเลขที่กระทรวงการคลังหามา กลุ่มเปราะบางกลุ่มแรก จะมีการใช้จ่ายในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก ดังนั้น เชื่อว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแน่นอนในเฟสแรก

ขณะที่วันเดียวกันที่ 17 กันยายน 2567 กระทรวงการคลัง เผยแพร่ข่าวที่ “นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” แถลงข่าวถึง “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ” ที่จะดำเนินการผ่านกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ  ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา โดยมีนโยบายสำคัญที่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าศักยภาพและค่าเฉลี่ยในอดีต รวมถึงต้องเผชิญกับปัญหาการหดตัวของการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

รัฐบาลจึงมีความจำเป็นในการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยผู้ได้รับสิทธิ์จะได้รับเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน ผ่านระบบบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชน

โครงการนี้คาดว่าจะส่งผลให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 145,552.40 ล้านบาท และช่วยเพิ่มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ร้อยละ 0.35 ต่อปีเมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีโครงการ ซึ่งจะส่งผลให้การผลิต การจ้างงาน และการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปลายปี 2567
 

ที่มา : กระทรวงการคลัง และ ทำเนียบรัฐบาล