ในขณะที่ Tesla เพิ่งสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวโรโบแท็กซี่ไม่เพียงแต่ท้าทายผู้เล่นรายเก่าในตลาด แต่ยังเป็นการยืนยันว่าอนาคตของการขนส่งกำลังจะเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของ Tesla อาจทำให้การแข่งขันในตลาดที่ขาดทุนอยู่แล้วยิ่งดุเดือดขึ้น
โดยเฉพาะการเข้ามาของ Tesla ในอุตสาหกรรมการเรียกรถอาจเป็นภัยคุกคามระยะยาวต่อ Uber และ Lyft นอกจากนี้ยังอาจบังคับให้พวกเขาพัฒนาและขยายการให้บริการยานยนต์ไร้คนขับของตนเอง หรือมองหาการเป็นพันธมิตรกับบริษัทของมัสก์คล้ายกับการเป็นพันธมิตรระหว่าง Uber กับ Waymo ที่เป็นของ Google
Tesla เปิดเผยรายละเอียดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแผนการของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้สำหรับบริการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่สามารถแข่งขันกับบริการเรียกรถได้ ทำให้ราคาหุ้นของ Uber พุ่งขึ้นถึง 7% จนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ Lyft ก็พุ่งขึ้นถึง 8.3% แต่ราคาหุ้นของ Tesla ร่วงลงถึง 10%
ธุรกิจแท็กซี่ไร้คนขับ หรือที่เรียกว่า "Robotaxi" เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่หลายคนคาดหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการขนส่งทั่วโลก โดยการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้ในการขับขี่ยานพาหนะเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัย แต่หลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจนี้กลับประสบปัญหาทางการเงินมากกว่าความสำเร็จ มีบริษัทหลายรายที่ลงทุนและขาดทุนอย่างมากในการพัฒนารถแท็กซี่ไร้คนขับ สหรัฐฯ เป็นประเทศแรกที่มีผู้เล่นชั้นนำหลายราย
Waymo
Google เป็นเจ้าของ โดยเป็นธุรกิจหลักในกลุ่มการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่คาดหวังว่าจะเติบโตก้าวกระโดด เรียกรวมว่า Other Bets ของงบการเงินบริษัท เปิดให้บริการปลายปี 2020 มีรถยนต์พร้อมใช้งาน 700 คัน และให้บริการมาแล้วกว่า 20 ล้านไมล์ ในเมืองซานฟรานซิสโก, ฟีนิกซ์ และลอสแอนเจลิส แต่แม้จะมีการทดสอบที่ประสบความสำเร็จบ้าง การขยายบริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศยังคงเป็นเรื่องท้าทาย Waymo ยังคงขาดทุนจากการลงทุนในเทคโนโลยีนี้ และยังไม่สามารถทำกำไรได้เต็มที่ ปี 2023 ขาดทุนกว่า 138,000 ล้านบาท
Cruise
General Motors เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เปิดตัวเมื่อปลายปี 2021 แม้ว่าจะมีการทดสอบการให้บริการในเมืองซานฟรานซิสโก แต่ยังคงเผชิญกับปัญหาทางเทคโนโลยีและการขาดทุนสูง จนต้องระดมทุนเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาและทดสอบการให้บริการต่อไป ปี 2023 ขาดทุนกว่า 116,000 ล้านบาท
Tesla
แสดงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติมานาน โดยเฉพาะในรูปแบบของ "Robotaxi" ที่ Elon Musk ประกาศว่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ แต่ Tesla ยังไม่เปิดให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับได้เต็มรูปแบบ มีรายงานว่า Tesla ใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ในการพัฒนา เทคโนโลยี Full Self-Driving (FSD)
บริษัทจากสหรัฐฯ ครองส่วนแบ่งหลักในตลาดแท็กซี่ไร้คนขับ บริษัทจากจีนก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจนี้ โดยแบรนด์จากจีนได้ลงทุนอย่างหนักในการพัฒนาเทคโนโลยีแท็กซี่ไร้คนขับ แต่ก็เผชิญกับการขาดทุนอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน
ปี 2023 เมืองไม่กี่แห่งในจีน รวมถึงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลให้สามารถให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับบนท้องถนนได้โดยไม่ต้องมีผู้ควบคุมความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม รถยนต์สามารถวิ่งได้เฉพาะในพื้นที่เล็กๆ และค่อนข้างห่างไกลของเมืองบางแห่งเท่านั้น ทำให้การเข้าถึงบริการนี้ทำได้ยากสำหรับคนส่วนใหญ่
รอยเตอร์รายงานเมื่อเดือนสิงหาคมว่า เมืองต่างๆ ของจีนอย่างน้อย 19 แห่งกำลังทดสอบรถแท็กซี่ไร้คนขับและรถบัสไร้คนขับ โดย 7 แห่งได้รับการอนุมัติให้ทดสอบโดยไม่ใช้ระบบตรวจสอบคนขับโดยบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอย่างน้อย 5 แห่ง ได้แก่ Apollo Go, Pony.ai, WeRide, AutoX และ SAIC Motor
Baidu
ยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหาทางอินเทอร์เน็ตของจีน ก้าวเข้าสู่ตลาดแท็กซี่ไร้คนขับด้วย โครงการ Apollo Go ตั้งแต่ปลายปี 2021 ให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับในเมืองต่างๆ หลายแห่งในประเทศจีนแล้ว
ในไตรมาสที่ 2 ของปี บริษัทให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับเกือบ 900,000 เที่ยว ซึ่งเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามรายงานผลประกอบการล่าสุดของบริษัท และเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับไปแล้วกว่า 7 ล้านเที่ยว
มีรายงานว่า Baidu Apollo ขาดทุนกว่า 1.9 พันล้านหยวน (ประมาณ 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือราว 8,620 ล้านบาท ในปี 2022 โดยส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและการทดสอบระบบการขับขี่อัตโนมัติ
ล่าสุด Baidu กำลังวางแผนเปิดตัวบริการแท็กซี่ไร้คนขับนอกประเทศจีน โดยหวังจะบุกเบิกตลาดรถยนต์ไร้คนขับระดับโลก เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และตะวันออกกลาง ตามรายงานจากสื่อต่างๆ เช่น Nikkei Asia และ Wall Street Journal ที่อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
Pony.ai
เป็นสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติจากจีนที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ของ Toyota บริษัทนี้ได้รับการประเมินมูลค่าสูงถึง 8.5 พันล้านดอลลาร์
ปี 2021 บริษัทระดมทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อขยายการทดสอบบริการในหลายเมืองในจีนและสหรัฐฯ แต่ยังคงขาดทุนต่อเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน
Pony.ai เป็นบริษัทแรกที่ดำเนินการใช้รถยนต์ไร้คนขับอย่างเต็มรูปแบบทั้งในปักกิ่งและกว่างโจว และเป็นบริษัทแรกๆ ในประเทศจีนที่ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินการใช้รถยนต์ไร้คนขับอย่างเต็มรูปแบบในเมืองระดับ 1 ทั้ง 4 เมืองในประเทศจีน (ปักกิ่ง กว่างโจว เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น)
ปัจจุบัน Pony.ai ยังได้ริเริ่มความร่วมมือการขับขี่อัตโนมัติในเกาหลีใต้ ลักเซมเบิร์ก ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย โดย ซาอุดีอาระเบีย เข้าลงทุน 3,400 ล้านบาทใน Pony.ai เพื่อหวังให้มาเปิดบริการในเมืองใหม่อย่าง Neom เมืองที่เน้นด้านนวัตกรรม
AutoX
เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดแท็กซี่ไร้คนขับของจีน โดยมี Alibaba เป็นหนึ่งในนักลงทุนหลัก AutoX ได้เปิดตัวบริการทดลองแท็กซี่ไร้คนขับในเซินเจิ้น แต่บริษัทก็เผชิญกับความท้าทายทางการเงิน บริษัทใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในการพัฒนาเทคโนโลยีและขยายการทดสอบ ซึ่งทำให้ต้องพึ่งพาการระดมทุนเพิ่มเติมเพื่อความอยู่รอดและการขยายธุรกิจ
เหตุผลการขาดทุนในธุรกิจแท็กซี่ไร้คนขับ
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ธุรกิจแท็กซี่ไร้คนขับประสบกับการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง คือ ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเทคโนโลยีที่สูงมาก การสร้างระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซ็นเซอร์ LIDAR กล้อง AI และต้องได้รับการตรวจสอบและความช่วยเหลือจากมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทำงานได้อย่างปลอดภัย
ระบบประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน บริษัทต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนา แต่ผลลัพธ์ยังไม่สามารถออกมาเป็นบริการที่ทำกำไรได้
ระบบขับอัตโนมัติรุ่นนี้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าแท็กซี่ทั่วไปมาก การนั่งแท็กซี่ไร้คนขับอาจมีราคาแพงกว่าแท็กซี่ของบริษัทอื่นหลายเท่า ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่แท็กซี่ไร้คนขับจะแข่งขันกับบริการเรียกรถร่วมกันได้ อย่างน้อยก็จนกว่าแท็กซี่ไร้คนขับจะออกสู่ท้องถนนได้มากขึ้น จนกว่าแท็กซี่ไร้คนขับจะมีราคาถูกลง
โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับยังไม่รองรับอย่างเต็มที่ในหลายพื้นที่ เช่น ถนนที่ไม่มีสัญญาณหรือแผนที่ที่ไม่แม่นยำพอ การขาดกฎระเบียบที่แน่นอนเกี่ยวกับการขับขี่อัตโนมัติก็เป็นปัจจัยที่ทำให้การขยายตัวของธุรกิจนี้ช้ากว่าที่คาดหวัง
อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ยังคงมีอยู่สำหรับแท็กซี่ไร้คนขับ นั่นคือ ยังคงทำงานผิดปกติอยู่เป็นบางครั้ง ประสบการณ์เลวร้ายของ Cruise ในตุลาคม 2023 เมื่อคนขับซึ่งเป็นมนุษย์ (ในรถยนต์ที่ไม่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ) ชนคนเดินถนนในซานฟรานซิสโกและขับรถหนีจากที่เกิดเหตุ รถยนต์ที่วิ่งผ่านมาได้พุ่งทับเหยื่อและลากไปเป็นระยะทาง 20 ฟุต ก่อนจะหยุด
ทั้งนี้ ธุรกิจแท็กซี่ไร้คนขับอาจจะเป็นเส้นทางสู่อนาคตที่สดใสหากสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ แต่หากไม่สามารถทำได้ ก็อาจกลายเป็นหลุมดำทางการเงินที่ดูดกลืนการลงทุนอย่างมหาศาลจากบริษัทชั้นนำทั่วโลก
อ้างอิงข้อมูล