นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ขอแจ้งเตือนผู้ส่งออกรายกลาง รายใหญ่ และรายเล็กว่า ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องไกลตัว จะเพิกเฉยไม่ได้ ที่ผ่านมาค่าเงินที่ผันผวน 20% ไม่ใช่เรื่องปกติ และปัญหาตะวันออกกลางที่คาดจะผ่อนคลาย แต่วันนี้ก็เห็นแล้วไม่เป็นเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังรุนแรงขึ้นด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ระหว่างกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต และโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ในวันที่ 5 พ.ย.นี้ ที่ยังเดาไม่ออกว่าใครจะชนะ แต่เชื่อว่าผลที่ออกมาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งโลก
ทั้งนี้ เรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ เรื่องค่าเงิน ค่าระวางเรือ ซึ่งจะเห็นแล้วว่าค่าส่งเรือตู้ขนาด 40 ฟุต กระโดดขึ้นไป 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว ดังนั้น ทุกคนจำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับความขัดแย้ง ความไม่แน่นอนต่างๆให้ได้
นายรักษ์กล่าวว่า การเลือกตั้งของสหรัฐ จะมีผลต่อค่าเงินบาท การลงทุนต่างชาติในไทย ราคาพลังงาน ตลอดจนค่าระวางเรือ เพราะทั้ง 2 ฝ่ายมีนโยบายบริหารที่แตกต่างกันชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายการทำการค้ากับจีน
ทั้งนี้ หากทรัมป์กลับเข้ามา ก็น่าจะเริ่มการทำสงครามการค้าอีกครั้ง และทำให้การค้าจีน-สหรัฐลดลงแน่ ซึ่งจะกระทบปลายน้ำมายังการส่งออกไทย รวมถึงสินค้าจีนที่ส่งออกไปตะวันตกไม่ได้ ก็อาจจะมาวนขายในอาเซียนแทน แต่ถ้า แฮร์ริส เป็นฝ่ายชนะ ก็จะเดินได้ตามแบบเดิม เหมือน โจ ไบเดนทำไว้ เพราะจะยึดตามระเบียบกติกาโลกมากกว่า
“ทรัมป์ ถือเป็นบุคคลที่คาดเดาได้ยาก และมีความสุดโต่งสไตล์อนุรักษ์นิยม ทำให้มีความเสี่ยง หากทรัมป์หวนคืนตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ อาจก่อสงครามการค้ารอบใหม่ โดยตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 60% ยกเลิกนโยบายเพื่อส่งออก เพื่อเน้นการผลิตในประเทศ และอาจทำให้การค้าโลกผันผวน และราคาน้ำมันอาจแพงขึ้น ฉะนั้นภาคธุรกิจต้องใส่เสื้อเกราะให้ตัวเอง“
โดยควรจะมีการประกันการผิดนัดชำระค่าสินค้าส่งออก การประกันความเสี่ยงที่อาจได้รับความเสียหายจากกฎระเบียบหรือรัฐบาลประเทศที่เข้าไปลงทุน และซื้อขายสัญญาเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเพื่อป้องกันความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งธนาคารมีความพร้อมให้บริการเหล่านี้แก่ผู้ส่งออก
นายรักษ์ กล่าวว่า การดำเนินการของเอ็กซิมเชื่อว่าในปีนี้เป็นไปเหมือนกันทุกธนาคาร ที่ไม่สามารถเติมสินเชื่อเข้าไปในระบบได้มากเหมือน 1-2 ปีก่อน โดยปัจจุบันเอ็กซิม ปล่อยสินเชื่อคงค้าง 1.72 แสนล้านบาท มีอัตราเบิกจ่ายสินเชื่อเพิ่มไม่ถึง 2% แต่คาดว่าถึงสิ้นปีจะปล่อยกู้ได้ 1.85 แสนล้านบาทตามเป้าหมาย โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนที่เหลือ จะปล่อยกู้ได้เฉลี่ย 5-6 พันล้านบาท
“แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นชัด คือ ยอดการซื้อประกันความเสี่ยงทางการค้าในรูปแบบต่างๆ โดยปีนี้มียอดขายกรมธรรม์เพิ่มถึง 10% รวมถึงการซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าก็เติบโต 10% ซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดี สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ส่งออกไทยมีความตื่นตัวรับมือความเสี่ยงจากการค้าการลงทุนโลกมากขึ้น แต่ก็จะดีใจมากไม่ได้ เพราะธุรกิจในไทยที่มีกว่า 3.17 ล้านราย เข้ามาทำประกันความเสี่ยงเพียง 3 หมื่นกว่าราย หรือคิดเป็น 1%กว่าเท่านั้น”