ม็อบนัดรวมพลยื่น 45,000 รายชื่อ ค้านตั้ง "กิตติรัตน์ นั่งประธานบอร์ดธปท.

10 พ.ย. 2567 | 12:14 น.
อัปเดตล่าสุด :10 พ.ย. 2567 | 13:01 น.

จับตา ม็อบนัดรวมพลัง ยื่น 45,000 รายชื่อ ค้านตั้ง "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" นั่ง ประธานบอร์ด ธปท. หวั่น การเมืองเข้าแทรกแซงครอบงำ ธปท.

วันพรุ่งนี้ (11 พ.ย. 2567) การประชุมคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เลื่อนมาจากเดิมในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด หลังจากมีกระแสคัดค้านจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งอดีตผู้ว่าการ ธปท. นักวิชาการ และกลุ่มนักศึกษาประชาชน ที่กังวลว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะถูกแทรกแซงด้วยอิทธิพลทางการเมือง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข่าวว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ และอดีตรมว.คลัง จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด ธปท.

ม็อบนัดรวมพลยื่น 45,000 รายชื่อ ค้านตั้ง \"กิตติรัตน์ นั่งประธานบอร์ดธปท.

เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) และกองทัพธรรม ได้นัดหมายชุมนุมกันที่หน้า ธปท. อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ (11 พฤศจิกายน) เวลา 09.30 น. พร้อมนำรายชื่อผู้สนับสนุนที่รวบรวมได้กว่า 45,000 คนไปยื่นต่อคณะกรรมการคัดเลือก เพื่อคัดค้านการแต่งตั้งนายกิตติรัตน์เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เพราะกลัวว่าธนาคารกลางจะสูญเสียความเป็นอิสระ และอาจถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

ขณะที่ก่อนหน้านี้กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม และภาคส่วนต่างๆ ยังได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 เรียกร้องให้คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญกับความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารธนาคารกลาง รวมถึงความเป็นกลางทางการเมือง เพื่อให้มั่นใจว่า ธปท. จะสามารถดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ สำหรับแถลงการณ์ฉบับที่ 3 กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ระบุว่า ตามที่กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 4 ท่าน นักวิชาการ คณาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และสาขาอื่น ๆ หลายสถาบันทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยการครอบงำธนาคารแห่งประเทศไทย

โดยกลุ่มการเมืองผ่านการคัดสรรประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมา ประธานคณะกรรมการคัดเลือกได้ขอเลื่อนการพิจารณาลงมติเลือกประธานและกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยออกไปเป็นวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน ศกนี้ และได้ปรากฏกลุ่มบุคคลและบุคคลที่ใกล้ชิดกลุ่มการเมืองบางส่วนออกมาแสดงความเห็นโต้แย้ง ดังนี้

ประการที่หนึ่ง แสดงความเห็นสนับสนุน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง โดยระบุว่าเป็นคนเก่ง มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย

กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมขอเรียนว่า พวกเราไม่ได้สนใจตัวบุคคลว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นคนเก่งหรือไม่ แต่เป็นห่วงกังวลในหลักการว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องไม่เป็นผู้มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นทางการเมือง

ต้องไม่เคยกระทำหรือแสดงให้เห็นถึงเจตนาในการแทรกแซงกดดัน ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายทางการเงินตามที่ฝ่ายการเมืองต้องการ เพราะหากธนาคารกลางของไทยต้องดำเนินการตามความต้องการของฝ่ายการเมือง ย่อมทำลายความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง ที่ต้องรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศให้มั่นคงในระยะยาว และอาจสร้างความร่ำรวยให้กับกลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มบุคคลหนึ่ง บุคคลใด

ทางกลุ่มไม่ได้เจาะจงตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง หรือนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ แต่เกรงว่าผู้ใดก็ตามที่มีความสัมพันธ์และคุณลักษณะดังกล่าว ย่อมเป็นที่ห่วงกังวล และยิ่งถ้าผู้นั้นเป็นคนเก่งมีความสามารถสูงก็ยิ่งสร้างความห่วงกังวลว่าอาจใช้ความเก่งความสามารถในการแทรกแซงครอบงำได้

ม็อบนัดรวมพลยื่น 45,000 รายชื่อ ค้านตั้ง \"กิตติรัตน์ นั่งประธานบอร์ดธปท.

ประการที่สอง มีข้อโต้แย้งว่าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ควรมีความเป็นอิสระจากการเมือง เนื่องจากเคยทำผิดพลาดมาก่อน เช่น ในวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 จึงเป็นการสมควรที่รัฐบาลสามารถเข้าแทรกแซงได้

กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ขอเรียนว่าการอ้างความผิดพลาดในอดีตเพื่อเข้าแทรกแซง ไม่เป็นเหตุและผลเพียงพอ เพราะการแทรกแซงโดยภาคการเมืองอาจก่อให้เกิดได้ทั้งผลดีและผลเสีย ไม่ควรมองว่าเป็นผลดีอย่างเดียว ในขณะที่ข้อมูลเชิงประจักษ์จากประสบการณ์ทั่วโลกแสดงว่า การแทรกแซงมักก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีอย่างเทียบไม่ได้

หลักการความเป็นอิสระของธนาคารกลางที่ยึดถือกันทั่วโลก จะนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง ซึ่งหมายถึงความน่าเชื่อถือของการดำเนินนโยบายการเงินด้วย หากธนาคารกลางไม่เป็นอิสระและถูกสั่งการได้โดยฝ่ายการเมือง การดำเนินนโยบายการเงินก็จะไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ

เพราะฝ่ายการเมืองมีปัจจัยแปรผัน กดดัน หรือจูงใจจำนวนมาก คาดเดาได้ยาก ความไม่แน่นอนจะเป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจเพราะก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงนโยบายที่กระทบภาคธุรกิจอย่างมาก และที่สำคัญที่สุด หากความน่าเชื่อถือของนโยบายการเงินหมดไป ความสามารถที่จะรักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายก็จะหมดไปเช่นกัน ส่งผลให้เงินเฟ้ออาจทะยานสูงขึ้นและควบคุมยากเพราะนโยบายการเงินขาดความน่าเชื่อถือเสียแล้ว ซึ่งเป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

ถ้าจะกล่าวโดยหลักการแล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกรวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงสถาบันทุกแห่งสามารถทำผิดพลาดได้ในบางครั้ง กระบวนการดำเนินนโยบายจะต้องเน้นให้ธนาคารกลางมีความรับผิดชอบต่อสาธารณะ ผ่านการดำเนินนโยบายการเงินที่โปร่งใสอธิบายได้

พร้อมรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน และแก้ไขเมื่อพบข้อผิดพลาด ในเรื่องของความโปร่งใสธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับปรุงระเบียบและแนวปฎิบัติภายหลังวิกฤติปี 2540 อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นธนาคารกลางที่ได้รับการประเมินในระดับที่ดีในระดับสากล

กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมและภาคส่วนต่างๆ ขอเรียกร้องอีกครั้ง ให้คณะกรรมการคัดเลือกทั้ง 7 ท่าน ดำเนินการพิจารณาคัดเลือกประธานและกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยพิจารณาอย่างถ่องแท้ต่อคุณสมบัติที่เป็นหลักสากลของผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกลางทั่วโลก ต้องคำนึงถึงประโยชน์และเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

ปราศจากความเกรงใจและความสัมพันธ์ทางการเมือง ยึดมั่นหลักการที่สังคมไทยในอดีตได้พยายามสร้างให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสถาบันที่เป็นอิสระจากการครอบงำ เพื่อหาผลประโยชน์ในระยะสั้นทางการเมือง