พื้นที่การคลัง เหลือ 3 ล้านล้านบาท ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤตแล้วหรือยัง?

14 พ.ย. 2567 | 08:16 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ย. 2567 | 08:17 น.

ไขข้อสงสัย หลัง “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลัง ชี้เหลือพื้นที่การคลัง 3 ล้านล้านบาท ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤตแล้วหรือยัง

หลังจากที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง กล่าวถึงสถานการณ์หนี้สาธารณะไทย ว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ 65-66%ต่อจีดีพี มูลหนี้ใกล้แตะ 12 ล้านล้านบาท ซึ่งวางกรอบไว้ต้องไม่เกิน 70%ต่อจีดีพี หรือ 15 ล้านล้านบาท นั่นหมายถึง พื้นที่ทางการคลังน้อยลง มีพื้นที่เพียง 3-4% หรือคิดเป็น 3 ล้านล้านบาทนั้น

คงมีข้อสงสัยกันว่า พื้นที่การคลัง หรือ fiscal space ที่เหลืออยู่ 3 ล้านล้านบาท ประเทศเข้าสู่ขั้นวิกฤตแล้วหรือยัง “ฐานเศรษฐกิจ” ได้รวบรวมข้อมูลมาสรุป ดังนี้

พื้นที่การคลังคืออะไร

พื้นที่การคลัง เป็นพื้นที่ในงบประมาณของรัฐบาล ที่ช่วยให้รัฐบาลสามารถจัดสรรทรัพยากรเพื่อจุดประสงค์ที่ต้องการได้ โดยไม่กระทบต่อความยั่งยืนของสถานะทางการเงิน หรือเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลงบประมาณ โดยวางเป้าหมายระยะยาวจะกลับเข้ามาสู่จุดสมดุล ตามแผนการคลังระยะปานกลาง

โดยในการกำหนดพื้นที่การคลัง จะอยู่ภายใต้กรอบเพดานหนี้สาธารณะที่รัฐกำหนดไว้ ตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งปัจจุบันกรอบเพดานหนี้กำหนดไว้ไม่เกิน 70%ต่อจีดีพี

ความสำคัญของพื้นที่การคลัง

การกำหนดพื้นที่การคลัง จะทำให้รัฐไม่ก่อหนี้เกินตัว เพื่อให้ฐานะการเงินการคลังของประเทศมีเสถียรภาพ มั่นคงอย่างยั่งยืน ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งกฎหมายดังกล่าว ได้กำหนดเรื่องกรอบต่างๆ อาทิ

  • การดำเนินการทางการคลังและงบประมาณ
  • วินัยด้านรายได้และรายจ่าย
  • เงินงบประมาณ
  • เงินนอกงบประมาณ
  • การบริหารทรัพย์สิน
  • การบริหารเงินคงคลัง
  • การบริหารหนี้สาธารณะ

ทั้งนี้ การบริหารพื้นที่การคลังอย่างมีเสถียรภาพ จะเป็นผลดีกับเครดิตประเทศ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติด้วย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยใช้งบประมาณขาดดุลมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จีดีพีไม่เติบโตขึ้น ถือเป็นความท้าทายต่อรัฐบาลที่จะทำให้งบประมาณกลับเข้าสู่จุดสมดุล

สถานการณ์หนี้สาธารณะในปัจจุบัน

ข้อมูลจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) รายงานข้อมูลหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 ก.ย.67 สุดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ 63.28% มูลหนี้รวม 11.62 ล้านล้านบาท โดยองค์ประกอบของหนี้ แบ่งเป็น

  • รัฐบาลกู้โดยตรง 9.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 52.82%ต่อจีดีพี
  • รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายของ FIDF  5.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 3.01%ต่อจีดีพี
  • รัฐวิสาหกิจ 1.06 ล้านล้านบาท คิดเป็น 5.81%ต่อจีดีพี
  • รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงินฯ (รัฐบาลค้ำประกัน)  1.89 แสนล้านบาท คิดเป็น 1.03%ต่อจีดีพี
  • หน่วยงานรัฐ 1.12 แสนล้านบาท คิดเป็น 0.16%ต่อจีดีพี

หากพื้นที่การคลังเต็มเพดาน รัฐมีเครื่องมืออื่นหรือไม่

ก่อนหน้านี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง กล่าวว่า “พื้นที่ทางการคลังที่เหลืออยู่ 3-4% ส่งผลให้รัฐสามารถก่อหนี้ใหม่ได้อีก 3 ล้านล้านบาท เฉลี่ย 4 ปี รัฐบาลสามารถกู้ชดเชยขาดดุลได้ปีละไม่เกิน 7.5 แสนล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ทางการคลัง ที่เหลืออยู่ 3 ล้านล้านบาท ถือเป็นกระเป๋าใบที่ 1 ของรัฐบาล นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีกระเป๋าอีกหลายใบ อาทิ กระเป๋าจากการใช้นโยบายกึ่งการคลัง มาตรา 28 ตามพ.ร.บ.วินัยการคลังการคลัง และการใช้กระเป๋าที่เป็นเงินกู้ต่างประเทศ เป็นต้น

ทั้งนี้ ทุกปีงบประมาณ รัฐได้ตั้งงบชำระหนี้คืนทุกปี เช่น ในปีงบประมาณ 2567 สบน. ได้รับจัดสรรงบประมาณชำระหนี้เงินต้นแก่รัฐบาลเพิ่มจากเฉลี่ยประมาณ 2.5% เป็น 3.4% ของงบประมาณรายจ่าย ส่วนดอกเบี้ยชำระ 100%  ฉะนั้น ในการก่อหนี้รัฐบาล ก็มีการชำระคืนอย่างต่อเนื่อง

หากเปรียบเทียบกับกระเป๋าสตางค์เรา ก็เหมือนการหมุนเงินไปเรื่อยๆ มีรายได้ ก็นำไปชำระหนี้ แล้วก่อหนี้ใหม่ เป็นต้น

สุดท้ายแล้ว หากถามว่าพื้นที่ทางการคลังที่เหลืออยู่ 3 ล้านล้านบาท ประเทศเข้าสู่ขั้นวิกฤตหรือยังนั้น ก็ยังถือว่าไม่ถึงขั้นวิกฤต เนื่องจากภาระหนี้โดยรวมยังอยู่ในกรอบวินัยการคลัง ขณะที่หนี้สาธารณะ ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการก่อหนี้ระยะยาว และสัดส่วนหนี้ที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศก็มีจำนวนไม่มาก