นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การเดินหน้าโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ระยะที่ 2 แก่กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คลังมีความตั้งใจจะแจกเงินให้ถึงมือประชาชนเร็วขึ้น ก่อนถึงช่วงตรุษจีน หรือก่อนวันที่ 29 ม.ค.68
โดยกำลังเร่งจัดทำกระบวนการต่างๆ ทั้งในส่วนของการตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ ขั้นตอนการจ่ายเงินให้เสร็จ เพื่อให้สามารถประกาศผลกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิ 4 ล้านคนได้เร็วที่สุด ซึ่งคลังตั้งใจจะประกาศผลได้ในเร็วๆ นี้ หรือวางเป้าหมายไว้ภายในเดือนธ.ค.67
“ยืนยันว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่จะได้รับเงิน 10,000 บาท เฟส 2 จะต้องเป็นผู้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ และผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้น และที่สำคัญต้องไม่เป็นกลุ่มที่เคยได้รับเงิน 10,000 บาทในระยะแรกมาด้วย เมื่อระบบตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐแล้ว คลังจะเปิดให้ตรวจสอบรายชื่อ และหากเห็นว่าข้อมูลผิดพลาด ไม่ถูกต้องก็สามารถยื่นอุทธรณ์สิทธิได้”
สำหรับผู้ผ่านการตรวจสอบสิทธิ ขอแนะนำให้เปิดบัญชีพร้อมเพย์ผูกกับเลขบัตรประชาชนได้เลย เพราะรัฐบาลจะโอนเงิน 10,000 บาทให้ผ่านช่องทางนี้ช่องทางเดียว เพื่อสะดวกในการใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งประเมินว่ากลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีจำนวนไม่มาก โดยรัฐบาลตั้งกรอบงบประมาณไว้ที่ 40,000 ล้านบาท แต่ใช้จริงอาจจะประมาณ 3 ล้านกว่าคนเท่านั้น
ขณะที่โครงการเงินดิจิทัล วอลเล็ต ระยะที่ 3 ที่ใช้วงเงินที่เหลืออีก 1.4 แสนล้านบาท คาดจะเริ่มช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.68 หลังจากจัดทำและทดสอบระบบดิจิทัลวอลเล็ตเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยกลุ่มนี้จะได้รับเงิน 10,000 บาท เพื่อใช้ผ่านระบบวอลเล็ตเท่านั้น ไม่มีการแจกเป็นเงินสด
ส่วนการลงทะเบียนในรอบกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนได้ กำลังพิจารณา และจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ในเร็วๆ นี้ เช่นกัน
ด้านกลุ่มประชาชนอายุ 60 ปีที่ลงทะเบียนผ่านแอพฯ ทางรัฐไม่สำเร็จ หรือยืนยันตัวตนไม่ผ่าน รวมถึงกลุ่มเปราะบางที่ไม่มีสมาร์ทโฟน จะมีโอกาสลงทะเบียนเก็บตกได้รับเงินสด 10,000 บาทหรือไม่นั้น นายจุลพันธ์กล่าวว่า เรื่องนี้กำลังพิจารณา หากทำทันก็อาจจะเปิดให้มีโอกาสรับเงินสดได้
อย่างไรก็ตาม หากไม่ทันอาจจะให้ไปรวมอยู่ในกลุ่มใช้จ่ายผ่านวอลเล็ต ซึ่งตรงนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ขอให้อดใจรอ แต่ยืนยันว่าทุกคนที่ลงทะเบียนและได้สิทธิจะได้รับเงิน 10,000 บาทแน่นอน
นอกจากนี้ คลังยังประเมินผลการแจกเงิน 10,000 บาท ระยะที่ 1 ผ่านกลุ่มเปราะบาง ถือว่าประสบความสำเร็จ สามารถสร้างเม็ดเงินลงในระบบเศรษฐกิจ และมีผลต่อจีดีพีประเทศ โดยเฉพาะคนในกลุ่มเป็นเกษตรกรไทยได้รับเงินไปแล้วกว่า 7 ล้านคน จากจำนวนผู้ที่ได้รับเงินทั้งหมด 14.5 ล้านคน
โดยปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 จะเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าทั้งปีจะเติบโตได้ถึง 2.8% ส่วนปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 3%