ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกฎกระทรวงกำหนดอัตรา เงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 ฉบับใหม่ โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2568 เป็นต้นไป เพื่อให้นายจ้าง และลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามมาตรา 130 วรรคหนึ่ง จ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุน เพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย ตามบัญชีอัตราเงินสะสมและเงินสมทบ
โดยกำหนดอัตราเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้างที่แต่ละฝ่ายจะต้องนำส่งเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ดังต่อไปนี้
1.ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2573 ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ 0.25 ของค่าจ้าง
2. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2573 เป็นต้นไป ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ 0.5 ของค่าจ้าง
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ พร้อมกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. ..... และ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับนายจ้างจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. ..... รวม 3 ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้าง เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างหลักประกันในการทำงานให้กับลูกจ้างกรณีออกจากงานหรือตาย
สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่กำหนดให้มีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเพื่อจัดเก็บเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้าง เพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีดังกล่าวพร้อมดอกผล
รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อเป็นทางเลือกให้นายจ้างที่จัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับการยกเว้นให้ลูกจ้างไม่จำต้องเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งถือเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นหลักประกันในการทำงานให้กับลูกจ้างเช่นเดียวกัน