สภาพัฒน์ วิเคราะห์สงครามการค้า จีน-สหรัฐ ดาบสองคมส่งออกไทย

24 พ.ย. 2567 | 01:06 น.

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเมินผลกระทบ สงครามการค้า จีน-สหรัฐ รอบใหม่ ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดาบสองคมกระทบการส่งออกของไทย นับจากนี้

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้ารอบใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่สามของปี 2567 และแนวโน้มปี 2567 - 2568 ว่า เมื่อพิจารณาจากข้อมูลผลจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ในอดีตภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Trump 1.0) ระหว่างปี 2560 -2563 ต่อการค้าระหว่างประเทศของจีนพบว่า 

จีนมีทิศทางการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งทำให้เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลดลงในช่วงดังกล่าว จากที่เคยเกินดุล 4.18 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2561 ลดลงเป็น 3.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 และ 2.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 

 

สภาพัฒน์ วิเคราะห์สงครามการค้า จีน-สหรัฐ ดาบสองคมส่งออกไทย

 

สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดนำเข้าของสหรัฐฯ ในปี 2566 ซึ่งพบว่าเม็กซิโกกลายเป็นตลาดนำเข้าอันดับ 1 ของสหรัฐฯ แทนที่จีน โดยเม็กซิโกมีมูลค่าการนำเข้าสูงกว่ามูลค่าการนำเข้าจากจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี ทำให้เม็กซิโกมีสัดส่วนร้อยละ 15.4 ต่อการนำเข้ารวมของสหรัฐฯ 

ขณะที่จีนมีสัดส่วนร้อยละ 13.9 ต่อการนำเข้ารวมของสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากสัดส่วนร้อยละ 21.6 ในปี 2560 ในขณะที่สหรัฐฯ มีสัดส่วนการนำเข้าจากไทยอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.3 ในปี 2560

ผลกระทบกีดกันการค้าปี 2561

ขณะเดียวกัน หากพิจารณาผลต่อการลงทุนระหว่างประเทศ พบว่า นับตั้งแต่การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าในปี 2561 ภูมิภาคละตินอเมริกา และกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต สินค้าออกจากจีน สะท้อนจากยอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงจากจีนที่เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่ปี 2561 

โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIEs-4) อาทิ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง และกลุ่มประเทศอาเซียน (ASEAN-5) อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไทย มีเงินลงทุนโดยตรง ไหลเข้าจากจีนไปยังกลุ่มประเทศ NIEs สะสมในปี 2565 อยู่ที่ 1.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.7 จาก 1.03 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2560 (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 61.7 ของเงินลงทุนรวมสะสมในปี 2565) 

ส่วนเงินลงทุนจากจีนไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน 60.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 126.0 จาก 26.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2560 (คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 2.2 ของเงินลงทุนรวมสะสมในปี 2565)

ผลกระทบจากการส่งออก

สศช. ระบุว่า การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ยังส่งผลให้หลายประเทศในกลุ่มดังกล่าวสามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น และส่งผลให้มีการเกินดุลกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะเม็กซิโก และเวียดนาม รองจากจีน

อย่างไรก็ตาม ประเทศดังกล่าวมีการน่าเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้น เช่นกัน ส่งผลให้การขาดดุลการค้าของประเทศกลุ่มดังกล่าวกับจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งในปี 2566 ไทยเกินดุลกับสหรัฐฯ 

 

สภาพัฒน์ วิเคราะห์สงครามการค้า จีน-สหรัฐ ดาบสองคมส่งออกไทย

 

2 กลุ่มสินค้าเจอผลกระทบ

เมื่อพิจารณาในรายสินค้าที่สหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่สูงและเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนค่อนข้างสูง ในช่วงก่อนการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน (ปี 2559 -2560) เปรียบเทียบกับช่วงการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าที่เริ่มขึ้น ในปี 2561 เป็นต้นไป (ปี 2561 -2566) จะสามารถแบ่งกลุ่มสินค้าได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้ 

1. กลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ขาดดุลจีนลดลงแต่ขาดดุลไทยมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนโอกาสของการส่งออกของกลุ่มสินค้าเหล่านี้ไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้แก่ โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ จอมอนิเตอร์และเครื่องฉาย ส่วนประกอบและอุปกรณ์ส่านักงาน เครื่องทำน้ำร้อนและส่วนประกอบ และเฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น 

2. กลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ขาดดุลทั้งจากจีนและไทยมากขึ้น ได้แก่ หม้อสะสมไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ไมโครโฟนและส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น 

จะเห็นว่าในกรณีของไทย มีสินค้าที่ได้ประโยชน์จากการที่สหรัฐฯ ลดการนำเข้าจากจีน และเปลี่ยนมานำเข้าจากไทย เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี สินค้ากลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำคัญที่ไทยพึ่งพาการนำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่สูงเช่นกัน เช่น โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ เป็นต้น

 

สภาพัฒน์ วิเคราะห์สงครามการค้า จีน-สหรัฐ ดาบสองคมส่งออกไทย

 

ผลกระทบที่ไทยต้องเผชิญ

หากพิจารณากลุ่มสินค้าสำคัญที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ แต่ขาดดุลให้กับสินค้าจีน พบว่า ในปี 2566 กลุ่มสินค้าที่ไทยขาดดุลจีนมากที่สุด ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้า อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักร เครื่องใช้กลและส่วนประกอบ ยานพาหนะ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ ของท่าด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า เฟอร์นิเจอร์ และพลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก ตามลำดับ 

สะท้อนให้เห็นว่าแม้สหรัฐฯ จะเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยแทนที่จีนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 -2566) โดยตลาดสหรัฐฯ มีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 17.1 ของการส่งออกรวมของไทย แต่ไทยยังพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

โดยไทยมีสัดส่วนการน่าเข้าจากจีนร้อยละ 24.3 ของการนำเข้ารวม โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า ซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาดโลก อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลไฟฟ้า รวมถึงยานพาหนะ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ดี ยังมีกลุ่มสินค้าที่ไทยเกินดุลทั้งในตลาดสหรัฐฯ และจีน อาทิ ยางและของที่ท่าด้วยยาง และของปรุงแต่งท่าจากพืชผัก หรือผลไม้ เป็นต้น