ประกันสังคมเล็งเพิ่มเพดานค่าจ้าง มาตรา 33 แตะ 1.75 หมื่น เริ่มม.ค.69

02 ธ.ค. 2567 | 07:15 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ธ.ค. 2567 | 07:28 น.

สำนักงานประกันสังคม เตรียมออกกฎหมายกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม มาตรา 33 คิดเพดานใหม่แตะ 1.75 หมื่น คาดเริ่มต้นเดือนม.ค.69

สำนักงานประกันสังคม ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ เนื่องจากกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ได้กำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตนมาตรา 33 ไว้ไม่เกิน 15,000 บาท ที่ใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2538 ซึ่งค่าจ้างขั้นต่ำรายวันสูงสุดในขณะนั้นคือ 135 บาท 

จึงสมควรปรับปรุงให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเป็นไปตามมาตรฐานเพดานค่าจ้างขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ตามอนุสัญญาฉบับที่ 102 เรื่องสิทธิประโยชน์ประกันสังคมขั้นพื้นฐาน เพื่อความเพียงพอของสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ 

รวมทั้งเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกองทุนรองรับรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น เพื่อการกระจายรายได้จากผู้มีรายได้มากไปสู่ผู้มีรายได้น้อยภายในระบบประกันสังคม และเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบประกันสังคม

สำหรับร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... มีหลักการสำคัญในการปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างขั้นสูง ดังนี้

1. เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ที่มีความเพียงพอสอดคล้องกับค่าจ้างจริง เนื่องจากฐานที่ใช้ในการคำนวณเพื่อรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะคำนวณจากค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ดังนี้

  • เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
  • เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพสูงสุด 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
  • เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
  • เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
  • เงินทดแทนการขาดรายได้ในกรณีว่างงานสูงสุด 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
  • เงินบำนาญชราภาพ ไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเข้ากองทุน โดยผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบ 15 ปี จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้าง ส่วนผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับบำนาญเพิ่มอีก 1.5% ทุกการส่งเงินสมทบครบ 12 เดือน

สำหรับเงินบำเหน็จชราภาพจะได้รับเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติเนื่องจากมีการนำส่งเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเพิ่มขึ้นจากการปรับฐานที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบ

2. เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกองทุน รองรับรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น

3. เพื่อการกระจายรายได้จากผู้มีรายได้มากไปสู่ผู้มีรายได้น้อยภายใต้ระบบประกันสังคม เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ประกันตน 62.5% มีค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาท และมีผู้ประกันตน 37.5% มีค่าจ้างเท่ากับหรือสูงกว่าเพดานค่าจ้างปัจจุบัน

สาระสำคัญของร่างกฎหมาย 

ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แต่ละคน ให้กำหนดขั้นต่ำและขั้นสูง ดังต่อไปนี้

  1. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2571 จำนวนไม่ต่ำกว่า เดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 17,500 บาท
  2. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2572 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2574 จำนวนไม่ต่ำกว่า เดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 20,000 บาท
  3. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป จำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 23,000 บาท

ทั้งนี้กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2569 เป็นต้นไป

อ่านรายละเอียด : ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบ