เกิดการถกเถียงเรื่องการใช้ "ทุนสำรองระหว่างประเทศ" ข้อเสนอต่างๆ เช่น การนำมาใช้ช่วยเหลือประชาชน หลัง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในปัจจุบันมีสภาพคล่อง ราว 4-5 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ได้กระตุ้นให้เกิดข้อถกเถียงในวงกว้าง โดยเฉพาะจากนักวิชาการที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบัน TDRI ได้แสดงความเห็น โดยสะท้อนว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศมีไว้เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น การค้าระหว่างประเทศหรือการลงทุนระหว่างประเทศ หากทุนสำรองมีไม่พอ หรือน้อยเกินไป ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตัวอย่างเช่น ประเทศที่มีทุนสำรองต่ำอาจถูกตั้งคำถามว่ามีทุนสำรองเพียงพอต่อการนำเข้าได้กี่เดือน
ดร.นณริฏ ยังเน้นว่า เครื่องมือทางการเงินพิเศษที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจ อาจพอช่วยเสริมสร้างความมั่นคงได้บ้าง แต่การนำทุนสำรองมาใช้นั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ว่าจุดประสงค์นั้นเหมาะสมหรือไม่
จากบทความของ ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (2011) "ทุนสำรองระหว่างประเทศ ควรใช้อย่างไร" โดยได้อธิบายถึงความสำคัญของทุนสำรองระหว่างประเทศว่า ทุนสำรองเปรียบเสมือนเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่ตลาดเงินตลาดทุนมีความไม่แน่นอน
ที่มาที่ไปและหน้าที่ของเงินสำรองฯ
หน้าที่หลักของเงินสำรองฯ คือ เป็นเครื่องมือรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทที่ใช้รองรับการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศซึ่งอาจไหลเข้าออกจำนวนมากอย่างฉับพลัน เงินสำรองฯ ต้องมีไว้พร้อมที่จะใช้งานได้ทันที
ด้วยเหตุนี้ แบงก์ชาติจึงต้องนำเงินสำรองฯ ไปลงทุนในสกุลเงินสดและตราสารที่ซื้อขายได้อย่างปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ เวลาเมื่อจะใช้งานต้องแปลงเป็นเงินสดได้ทันที
เงินสำรองฯ แสดงถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของประเทศหรือไม่
ความมั่งคั่งร่ำรวยของคนจะดูจากทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่ได้ แต่ต้องดูด้วยว่าเงินที่มีนั้นไหลเข้าออกในตลาดการเงินในหลายรูปแบบ ที่สำคัญคือ การออกแบบนโยบายการเงินการคลังที่เสริมให้การแบ่งปันรายได้และความมั่งคั่งภายในประเทศเป็นไปอย่างยั่งยืน ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วและมั่งคั่ง ถึงแม้เงินสำรองฯ ของเขาจะน้อยกว่าเรา แต่กลับมีความมั่งคั่งในประเทศมากกว่า
ทุนสำรองระหว่างประเทศ ควรใช้อย่างไร
เงินสำรองฯ ปัจจุบันน่าจะมากเกินพอสำหรับใช้รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท ดังนั้น ควรนำเงินส่วนเกินไปลงทุนหาผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรได้ใช่หรือไม่
ในบทความเเสดงความเห็นด้วย แต่มี 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องคิด คือ จำนวนเงินสำรองฯ ส่วนที่เกินความจำเป็นระยะสั้นมีแนวโน้มไม่น่าจะน้อย เพราะการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศมีขนาดและความรวดเร็วมากในตลาดเงินโลก
ต่อมา ช่องที่เหมาะสมในการลงทุนที่เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศยังมีข้อจำกัด แม้จะมีบางประเทศลงทุนในกองทุนความมั่งคงปลอดภัย (Sovereign Wealth Fund หรือ SWF) แต่ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันว่าเงินสำรองฯ ควรไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงหรือไม่ เช่น หุ้น ฯลฯ ดังที่ทราบว่าแบงก์ชาติส่วนใหญ่ยังไม่อนุญาตให้นำเงินสำรองฯ ไปลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่จะลงทุนในพันธบัตรระยะยาวของประเทศที่มีความมั่นคง หรือสินทรัพย์อื่นที่ไม่เสี่ยงสูญเสียมูลค่าที่ใช้แปลงกลับได้ทันกับเป้าหมายรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน
เมื่อแบงก์ชาติลงทุนเสี่ยงไม่ได้ ทำไมจึงไม่โอนเงินสำรองฯ ส่วนเกินไปให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่เศรษฐกิจไทยในอนาคต
การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ๆ ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงด้วย โดยธรรมชาติ รัฐมักไม่ค่อยมีความสามารถในการตัดสินใจลงทุนเชิงธุรกิจได้อย่างคล่องตัวเหมือนกับเอกชน
แต่ประเด็นที่สำคัญคือ แบงก์ชาติไม่สามารถโอนเงินสำรองฯ ให้รัฐบาลโดยตรงได้ เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใด ๆ หากรัฐบาลต้องการ ก็ควรจัดตั้งระบบระดมทุนเพื่อกู้เงินจากประชาชนแทน
ส่วนเงินทุนสำรองฯ จากแบงก์ชาติจะยังอยู่ในรูปพันธบัตรของประเทศ เพราะกฎหมายระบุให้เป็นทรัพย์สินส่วนนี้ให้คงอยู่ในระดับที่เหมือนกับสามารถคงปกปิดพฤติกรรมเศรษฐกิจและการเงินได้เสถียร เมื่อแบงก์ชาติโอนเงินสำรองฯ จะมีผลต่อตลาดการเงิน และจะลดความเชื่อถือของนานาชาติต่อประเทศไทยรวมถึงบทบาทการดำเนินนโยบายการเงินและหมดสิ้นไป
ทำไมแบงก์ชาติไม่นำเงินสำรองฯ ปล่อยกู้กับรัฐบาลหรือเอกชนโดยตรง
เหตุผลที่ไม่ควรทำอย่างนั้นมีหลายข้อ ประการแรก การนำเงินสำรองฯ ไปทำนั้นจะทำให้เงินสำรองฯ หมดสภาพความเป็นเงินสำรองฯ ไปโดยอัตโนมัติ เพราะถ้าเกิดปัญหานโยบายของภาครัฐไทยก็อาจจะมีปัญหาด้วย แบงก์ชาติจึงไม่สามารถเรียกคืนเงินกู้กลับมาเพื่อใช้นำมาดูแลเสถียรภาพการเงินของประเทศได้
ประการที่สอง แบงก์ชาติจะทำหน้าที่เป็นธนาคารพาณิชย์เสียเองโดยให้กู้ยืมโดยตรงกับเอกชนไม่ได้ เนื่องจากเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพราะแบงก์ชาติตีพิมพ์เงินได้เอง และบิดเบี้ยวกับบทบาทหน้าที่ของธนาคารกลาง
ประการที่สาม ธนาคารกลางทุกประเทศจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้รัฐบาลกู้ยืมเงิน เพราะมีผลเหมือนการพิมพ์เงินให้รัฐบาลใช้งานนั่นเอง