นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวมอบนโยบายโครงการหลักสูตรการประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ว่า สัดส่วนภาษีที่กรมสรรพากรจัดเก็บต่อ GDP ของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ที่ 16.7% ในปัจจุบัน ขณะที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เพื่อการพัฒนาและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ควบคู่ไปกับการจัดสวัสดิการให้แก่คนไทยทุกช่วงวัย
โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย หากรัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บรายได้ให้เพียงพอต่อรายจ่ายที่เพิ่มมากขึ้นอาจมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับประเทศไทยในระยะยาว ดังนั้น รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงได้กำหนดนโยบายที่จะปฏิรูประบบภาษี
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง ซึ่งมีกรมสรรพากรเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาปฏิรูประบบภาษีดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยอยู่ระหว่างกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งส่วนใหญ่ประเทศที่เป็นสมาชิกจะมีอัตราการจัดเก็บภาษีต่อ GDP เฉลี่ย 34%
ขณะที่สัดส่วนการจัดเก็บภาษีต่อ GDP ของประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก จะอยู่ที่ 19.3% เท่ากับว่ารายได้ทางภาษีของประเทศไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยประมาณ 2.6% ซึ่งหากประเทศไทยสามารถพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้บนพื้นฐานความยั่งยืนทางการคลังจะทำให้สัดส่วนภาษีต่อ GDP ไม่ต่ำกว่า 20%
นายจุลพันธ์ ยังได้กล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานของกรมสรรพากรในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อลดช่องว่างทางภาษี (Tax Gap) ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างรายได้ที่ควรจัดเก็บกับรายได้ที่จัดเก็บได้จริง โดยเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยติดตามผู้มีหน้าที่เสียภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อขยายฐานรายได้โดยไม่สร้างภาระเพิ่มเติมให้กับประชาชน
นอกจากนี้ ได้มีการเน้นย้ำให้ปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีด้วยระบบบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้เสียภาษีที่มีความเสี่ยงต่ำควรได้รับเงินคืนอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องของธุรกิจตลอดจนการปราบปรามการทุจริตในระบบภาษีโดยใช้วิธี Domestic Reverse Charge ซึ่งประสบความสำเร็จในหลายประเทศมาใช้แก้ไขปัญหาทุจริตในภาษีมูลค่าเพิ่ม
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เป้าหมายทางเศรษฐกิจในปี 2568 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ 3% แต่รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะทำให้ขึ้นไปถึง 5% ภายในอนาคตอันใกล้ ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ
โดยในช่วงต้นปีหน้าจะดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และโครงการคุณสู้ เราช่วย ที่มุ่งช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่จะติดตามให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้เสียภาษีอย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยืนยันว่าสังคมของเราเป็นสังคมที่เป็นธรรม เมื่อผู้มีรายได้เพิ่มขึ้นก็เสียภาษีเพิ่มขึ้น ส่วนผู้มีรายได้ลดลงก็ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล