เปิดวิชัน CEO ใหม่ บี.กริม อุตสาหกรรม คุมทัพ 4 ธุรกิจลุยต่างประเทศ

31 ธ.ค. 2565 | 09:59 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ธ.ค. 2565 | 17:03 น.

เปิดวิชัน “กิตติ พัฒนลีนะกุล” CEO ใหม่ “บี.กริม อุตสาหกรรม” คุมทัพ 4 ธุรกิจ ปูทางบุกตลาดต่างประเทศ นำร่องโดยธุรกิจก่อสร้าง มั่นใจปี 66 ยังเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก

สำหรับ “บี.กริม” องค์กรธุรกิจ 144 ปี แม้จะหยั่งรากลึก และเติบโตในประเทศไทยมายาวนาน แต่พันธกิจหนึ่ง คือการสยายปีกรุกต่างประเทศ ภายในระยะเวลา 3 ปี ภายใต้การนำทัพของ “กิตติ พัฒนลีนะกุล” ประธานกลุ่มธุรกิจ บี.กริม อุตสาหกรรม ผู้ขับเคลื่อน 13 บริษัทใน 4 กลุ่มธุรกิจได้แก่

 

1. ระบบทําความเย็น (Cooling) ธุรกิจหลักซึ่งมี “แคเรียร์” (carrier) เป็นตัวชูโรง 2. ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (Building Materials) ระบบฟาซาด ระดับพรีเมียม 3. ธุรกิจอุปกรณ์พลังงาน (Energy Equipment) และ 4. ธุรกิจคมนาคม (Transportation) ในฐานะผู้ซัพพลายอะไหล่ (spare part) ให้กับ BTS และ MRT รวมถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย

              

นายกิตติ พัฒนลีนะกุล ประธานกลุ่มธุรกิจ บี.กริม อุตสาหกรรม เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การเข้ามาร่วมงานกับบี.กริมเป็นชาเลนจ์ ซึ่งสถานการณ์โลกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนรวมไปถึง โควิดทำให้มีผลกระทบทางด้านต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นอย่างมาก

กิตติ พัฒนลีนะกุล               

“โจทย์ใหญ่คือ ทำอย่างไรที่จะตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือลูกค้าอาคารขนาดใหญ่มีความต้องการที่จะมีสุขภาพที่ดีขึ้น จากคุณภาพอากาศที่ดีมีระบบที่สามารถช่วยลดฝุ่นติดเชื้อโรคต่างๆให้ได้มากที่สุด ซึ่งบี.กริมเองมีสินค้าและบริการที่สามารถตอบโจทย์ เรามีบี.กริมเพาเวอร์ช่วยส่งไฟฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกและเป็นพลังงานสะอาดทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมเราเองสามารถทำ energy optimization เพื่อลดต้นทุนพลังงานและอายุการใช้งานที่นานขึ้น”

 

สำหรับการลงทุนในระยะ 3 ปีข้างหน้าบี.กริม อุตสาหกรรมจะไม่ใช่แค่ขายสินค้าและบริการเป็นหลักเหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่จากนี้เป็นต้นไปจะมุ่งไปธุรกิจในปัจจุบันที่ยังเติบโตจะยังเดินหน้าต่อไป ขณะเดียวกันจะนำโปรดักต์และบริการใหม่เข้ามาเป็น Growth Engineของธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มSmart, Energy Optimization

 

และ Well-being ให้กับกลุ่มลูกค้าของเราทั้งในอุตสาหกรรมและกลุ่มที่เป็นอาคารขนาดใหญ่ โดยสิ่งที่จะมา support Growth Engineหนีไม่พ้นเรื่องของนวัตกรรมใหม่ๆและ Digital Transformation เข้ามาเป็น Key driver เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจบี.กริม อุตสาหกรรมไปสู่อนาคตและตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น

เปิดวิชัน CEO ใหม่ บี.กริม อุตสาหกรรม คุมทัพ 4 ธุรกิจลุยต่างประเทศ               

“การลงทุนหลังจากนี้คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนค่อนข้างเยอะ เพราะบางส่วนลูกค้าอาจจะไม่ต้องการที่จะลงทุนด้วยตัวเองทั้งหมด บางรายต้องการให้เราลงทุนและแชร์เซฟวิ่งกัน ซึ่งเราจะต้องเตรียมเม็ดเงินลงทุนไว้ ตอนนี้อาจจะเร็วไปที่จะตอบว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร จุดหลักที่เราจะทำคือทำอย่างไรเพื่อให้ลูกค้าเห็นความสำคัญของการลงทุน ทำให้ลูกค้ารู้ว่าเราสามารถออฟเฟอร์ให้เขาได้และทำอย่างไรให้ลูกค้ามั่นใจว่าเราอยู่ยาวแน่ๆ เหล่านี้คือสิ่งที่เป็นชาเลนจ์ ฟังดูเหมือนง่ายแต่ในทางปฏิบัติค่อนข้างยาก”

              

อีกหนึ่งชาเลนจ์ที่น่าหนักใจคือ คู่แข่งที่เข้ามาในอุตสาหกรรมมากขึ้นและส่วนใหญ่เป็นธุรกิจระดับโลก ซึ่ง “กิตติ” ประเมินว่าคู่แข่งที่น่ากลัวมากที่สุดคือ “จีน” เพราะเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้ จีนเดินหน้าไปค่อนข้างไกลและมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงมาก ซึ่งวันนี้เริ่มขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทยแล้ว เพราะฉะนั้นชาเลนจ์ของ บี.กริม คือต้องวิ่งนำ จับจองและครองพื้นที่ให้ได้เยอะที่สุดก่อนไม่เช่นนั้นอีกในอนาคต “เหนื่อยแน่นอน”

              

“ลูกค้ารายหลักอยู่ในประเทศไทย แต่ยังมีโอกาสอีกมากในต่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในแผนระยะต่อไปที่จะขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยจะเริ่มจากผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ซึ่งเมนหลักคือบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทำให้สามารถมูฟได้เร็วและคล่องตัวกว่า ปัจจุบันเรามีการส่งออกไปยังต่างประเทศบ้าง แต่สัดส่วนยังน้อย หลายธุรกิจที่ยังไม่ได้ไปก็คงจะต้องมีการขยายไปต่างประเทศแน่นอน

 

แต่จุดตั้งต้นคือต้องทำข้างในให้แข็งแรงก่อน เพราะการส่งออกมีลักษณะงานที่จะต้องใช้ความรู้ ใช้สกิลในการส่งออกด้วยเพื่อลดความเสี่ยง และในการหาพันธมิตรทางธุรกิจที่อยู่ในประเทศนั้นๆก็ต้องใช้เวลาในการเลือก เพราะฉนั้นตอนนี้เราเดินช้าลงหนึ่งก้าว เพื่อเตรียมวิ่งดีกว่า

              

ดังนั้นคาดว่าภายใน 2-3 ปีจะเห็นความเข้มข้นและตัวนี้จะเป็น Key Driver ตัวหนึ่งของธุรกิจสำหรับเป้าหมายปีหน้าการเติบโตจะต้องไม่น้อยกว่าที่ผ่านมาที่เราเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก แต่เราไม่ได้เน้นยอดขายเป็นไพออริตี้แรก แต่เราเน้นในเรื่องของกำไรมากกว่า”

 

หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,846 วันที่ 22 - 24 ธันวาคม พ.ศ. 2565