ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 หรือ4 ปีที่แล้ว “ไมเนอร์ ฟู้ด” สร้างแรงกะเพื่อมครั้งใหญ่ในการปิดดิลซื้อกิจการแบรนด์ไก่ทอดเกาหลี “บอนชอน” ในสัดส่วน 100% ด้วยมูลค่าการลงทุนสูงถึง 2,000ล้านบาท จากบริษัท ชิคเก้น ไทม์ จํากัด ซึ่งขณะนั้น บอนชอนมีรายได้ 1,351 ล้านบาท กำไร 352 ล้านบาท (กำไรสุทธิ 26%)และจำนวนสาขา 40 สาขา
ไม่เพียงเท่านั้นในปีต่อมา ไมเนอร์ ฟู้ด ยังเข้าถือหุ้นในบริษัท Spoonful Pte. Ltd. ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ของ บอนชอน ในไทย และบริษัท สพูนฟูล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการร้าน บอนชอน ที่ขยายต่อในประเทศไทยด้วยเม็ดเงิน 2,483 ล้านบาทในปี 2563 ส่งผลให้ไมเนอร์มีสิทธิ์เป็นเจ้าของและดำเนินกิจการร้าน Bonchon สาขาใหม่ทั้งหมด
ภายใต้ปีกของไมเนอร์ฟู้ด “บอนชอน” ถูกวางตัวให้เป็นคีย์ไดเวอร์หลักในการสร้างการเติบโตให้กับไมเนอร์ โดยตามแผนแล้วบอนชอนจะถูกขยายสาขาให้ครบ 150 สาขาภายใน 5 ปี เฉพาะปี 2563 จะเปิดให้ครบ 70 สาขา พร้อมวางแผนบุกหัวเมือง เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น หรือภูเก็ต อย่างไรก็ตามการเข้ามาของโควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนให้กับหลายๆธุรกิจ เช่นเดียวกับ “บอนชอน” ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนมือพอดี
นายธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลยุทธ์ของไมเนอร์มองด้วยเรื่องของ portfolio ของแบรนด์เป็นหลัก ไมเนอร์เป็นบิ๊กเพลย์เยอร์มี portfolio ครอบคลุมแคตากอรีที่หลากหลาย และไก่ทอดเป็นแคตากอรีที่ใหญ่ของเมืองไทยมีมูลค่าตลาดสูงกว่า 2 หมื่นล้านบาท การเข้าลงทุนใน บอนชอน เมื่อปี 2562 เพราะมองว่าเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพ ผ่านมา 4 ปี บอนชอนเป็นไปตามที่คาดหวังไว้และสามารถขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนของ “ไมเนอร์ ฟู้ด” ได้
ในช่วง 2 ปีของการระบาดโควิด บอนชอนเป็นแบรนด์แรกๆที่มีการปรับตัวได้ค่อนข้างเร็ว ในช่วงนั้นห้างสรรพสินค้าปิด การทานไดน์อินน้อยลง บอนชอนขยับตัวเองและมูฟไปdelivery ในทันที ทำให้มีรายได้มาชดเชยไดน์อินที่หายไปและมีการเติบโตของยอดขายค่อนข้างดี
“ในปีที่ผ่านมาๆ บอนชอน เติบโตค่อนข้างดีตามกลยุทธ์ที่วางไว้และสูงกว่าแบรนด์อื่นในกลุ่มอาหารที่อัตตราการโตอยู่ราวๆ 10-15% แต่บอนชอนเติบโตสูงกว่าคือประมาณ 20% สำหรับปีนี้เราก็จะยังคงตั้งเป้าการเติบโตใกล้เคียงกับปีที่แล้วก็คือ 20% ตอนนี้เรากลับมามองเรื่องของไดน์อินที่กลับมามากขึ้นเพราะทุกอย่างเปิดแล้ว ผู้บริโภคหลังโควิดเปลี่ยนแปลงไปลูกค้ามีความอัดอั้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดการกินล้างแค้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือลูกค้ามีตัวเลือกเยอะ
เราจึงต้องหันมาสร้างประสบการณ์การทานในร้าน ทั้งปรับปรุงร้าน ปรับลุค ปรับดีไซน์ใหม่ให้มีความสดใสและดึงดูดมากยิ่งขึ้น การเปลี่ยน ปรับและเพิ่มเมนู ให้น่าสนใจเหมาะกับการมานั่งทานไดน์อิน และเมนูพิเศษที่ลูกค้าจะต้องมาหาทานที่ร้านเท่านั้นไม่สามารถสั่ง delivery ได้ ตัวนี้ก็จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้าน ส่วน delivery เราไม่ได้ทิ้งเพราะลูกค้ายังต้องการความสะดวกสบายและด้วยความเป็นไก่ทอดก็ยังตอบโจทย์ผู้บริโภคอยู่
ดังนั้นภาพรวมสิ่งที่เรามองและคาดหวังเราเชื่อว่าบอนชอนยังเป็นแบรนด์ที่อยู่ในทิศทางการเติบโตที่ค่อนข้างสูง ปีนี้น่าจะเมนเทนและเติบโตในทิศทางเดียวกัน และเชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้อีกในแง่ของศักยภาพของแบรนด์ ปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากช่องทาง delivery 40% takeaway 10% และไดน์อิน 50% เราอยากจะโตในช่องทางไดน์อินมากกว่า ”
นายธนกฤต กิตติพนาชนม์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สพูนฟูล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บอนชอน ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บอนชอนเป็น full service restaurant สินค้าหลักคือเป็นไก่ทอด แต่ในร้านยังมีอาหารเกาหลีอื่นๆให้บริการด้วย ในช่วงโควิดบอนชอนยังเติบโตได้ดี เพราะสินค้าคุณภาพทั้งไดน์อินหรือ delivery ไม่ได้ลดลง บอนชอน จึงได้วาง 5 กลยุทธ์สำหรับรุกตลาดในปีนี้ ประกอบไปด้วย 1.พร้อมเสิร์ฟความอร่อยสไตล์เกาหลีที่เป็นเอกลักษณ์ฉบับบอนชอนที่ไม่เหมือนใคร
2.สร้างความแปลกใหม่ด้วยเมนูใหม่ ๆ และเปิดตัวขนาดใหม่ไซส์ XS เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น พร้อมโปรโมชันมัดใจลูกค้าตลอดปี
3.รองรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคผ่านทั้งหน้าร้าน สั่งกลับบ้าน และเดลิเวอรี
4.มุ่งเจาะกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ด้วยการเปิดตัว “ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี” แบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรก
5.เดินหน้าขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น
“ปีนี้ตลาดไก่ทอดเติบโตอย่างมาก ขณะที่เรามีจำนวนสาขากว่า 106 สาขา ปีนี้คาดว่าเราจะขยายได้ถึง 15 สาขาในกรุงเทพ 50% และ ต่างจังหวัด50% ณ วันนี้เรายังมองการเติบโตในห้างสรรพสินค้าเป็นหลักเพราะเราเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าที่เดินห้างเป็นหลัก เราจะเริ่มเปิดสาขาใหม่ในมีนาคมด้วยงบลงทุน 100 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะกระแสเกาหลียังแรงต่อเนื่อง คนไทยต้องการกินอาหารตามซีรีย์เกาหลีเกาหลี ทางเราเองก็พยายามนำสินค้าใหม่มาให้บริการเพื่อตอบโจทย์เรื่องของเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไป และการที่มีคู่แข่งมากขึ้นทำให้เราต้องคิดสินค้าที่อร่อยและหลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากไก่ทอดอย่างเดียว”