นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้ให้บริการ “ลีโอ เซลฟ์ สโตเรจ” (LEO Self Storage) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทมีแผนใช้เงินลงทุน 80-120 ล้านบาทสำหรับขยายสาขา “ลีโอ เซลฟ์ สโตเรจ” เพิ่มอีก 2 สาขา
จากปัจจุบันที่มีอยู่ 2 สาขาคือ พระราม 3 และไชน่าทาวน์ โดยสาขาที่ 3 เป็นการลงทุนร่วมกับบริษัท เอสเค แอสเส็ท แมนเนจเม้นท์ จำกัด บริษัทในเครือของบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โดยจะตั้งอยู่ภายในคอมมูนิตี้มอลล์ “เสนา เฟสต์” ถ.เจริญนคร และสาขาที่ 4 จะตั้งอยู่พระราม 4 กล้วยน้ำไท
“ทั้ง 2 สาขานี้คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 3-4 ของปีนี้ โดยใช้งบลงทุนเฉลี่ย 40-60 ล้านบาทต่อสาขา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโลเคชั่นเป็นหลัก อย่างไรก็ดีหลังเปิดให้บริการแล้วจะทำให้พื้นที่ให้บริการของลีโอ เซลฟ์ สโตเรจเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า”
ทั้งนี้บริษัทยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 สาขาต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้ภายใน 3 ปีบริษัทจะมีพื้นที่ให้บริการรวมกันราว 2 หมื่นตารางเมตร และธุรกิจพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่าจะกลายเป็น New S-curve ของบริษัท หลังจากที่บริษัทมีนโยบายในการไดเวอร์ซิฟายเข้าสู่ธุรกิจอื่น จากธุรกิจหลักคือการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและโลจิสติกส์ที่มีการแข่งขันรุนแรง
โดยเริ่มทำธุรกิจเซลฟ์ สโตเรจ ตั้งแต่ปี 2560 พร้อมกับสร้างธุรกิจให้คนไทยรู้จักและเข้าใจในรูปแบบบริการ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เห็นได้จากอัตราการใช้บริการในสาขาแรกพระราม 3 ที่สูงถึง 90% ทำให้ต้องขยายพื้นที่บริเวณชั้น 4 และ 5 เพิ่มขึ้น และปัจจุบันมีอัตราการใช้บริการราว 85% ขณะที่สาขา 2 ไชน่าทาวน์หลังเปิดให้บริการปลายปีที่ผ่านมา พบว่ามีอัตราการใช้บริการกว่า 30%
“ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ 80% เป็นลูกค้าคนไทย และอีก 20% เป็นลูกค้าต่างชาติ แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มได้แก่ 1. บริษัท ห้างร้าน สำหรับจัดเก็บเอกสาร สต็อกสินค้า ฯลฯ 2. ออแกไนเซอร์ จัดเก็บอุปกรณ์สำหรับจัดงาน 3. ไลฟ์สไตล์ คอนซูเมอร์ อาทิ ลูกค้าคอนโด สำหรับจัดเก็บอุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า ของตกแต่งบ้าน ฯลฯ
4. ผู้ปรับปรุง ซ่อมแซมบ้าน จำเป็นต้องเช่าพื้นที่สำหรับเก็บของ 5. นักท่องเที่ยวต่างชาติ และ 6. บริษัทตรวจสอบบัญชี เช่าพื้นที่เพื่อจัดเก็บเอกสารของลูกค้า โดยลูกค้าสามารถเลือกเช่าพื้นที่ตั้งแต่ครึ่งตารางเมตร-20 ตารางเมตรขึ้นไป ขณะที่ค่าบริการเฉลี่ย 700-900 บาทต่อตารางเมตร ระยะเวลาตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป”
นายเกตติวิทย์ กล่าวอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าเลือกมาใช้บริการ มีทั้งการให้บริการที่หลากหลาย สถานที่สะอาด ปลอดภัย มีระบบควบคุมที่ได้มาตรฐาน สะดวกสามารถเข้าออกได้ 24 ชม.ตลอด 7 วัน และยังเข้าถึงระบบ IOT ทำให้ลูกค้าสะดวกเมื่อมาใช้บริการด้วย อย่างไรก็ดี แนวโน้มลูกค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์ที่พักอาศัยอยู่คอนโด มีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการเลือกทำเลที่มีศักยภาพ ตั้งอยู่ในย่านที่มีคอนโดมิเนียมจำนวนมาก หรือร้านค้าพาณิชย์
อย่างไรก็ดีในปีนี้บริษัทจะใช้งบลงทุนรวมทั้งสิ้นราว 1,000 ล้านบาทสำหรับการขยายการลงทุนเพิ่ม รวมถึงการ M&A กับบริษัทอีก 2 บริษัท ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุย และการร่วมทุนกับบริษัทอื่นในธุรกิจโลจิสติกส์และแวร์เฮ้าส์ ขณะที่ในปีนี้บริษัท คาดว่าจะมีรายได้รวมใกล้เคียงกับปีก่อน คือ 2,500-3,000 ล้านบาท มีกำไรข้างต้น 15-20% ถือเป็นสัดส่วนที่สูง
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,870 วันที่ 16 - 18 มีนาคม พ.ศ. 2566