นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดว่าหลังจาก เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ใช้ระบบการฉาย IMAX with Laser ในโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ 3 สาขา ได้แก่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ไอคอน ซีเนคอนิค และ เมกา ซีนีเพล็กซ์ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยมีภาพยนตร์ Avatar : The Way of Water เข้าฉายได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม จนทำให้เกิดปรากฎการณ์ IMAX with Laser ฟีเวอร์
ลูกค้าแห่จองตั๋วชมภาพยนตร์ Avatar : The Way of Water เต็มโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ ตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้บริการ จนต้องจองตั๋วล่วงหน้าข้ามสัปดาห์เกิดสถิติผู้ชมล้นในโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์นานมากกว่า 1 เดือน และตลอดระยะเวลาการฉายจนจบโปรแกรมฉาย Avatar : The Way of Water สามารถทำรายได้ในไทยเฉพาะเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป แตะ 440 ล้านบาท โดยโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ทำรายได้รวมคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 16% ด้วยจำนวนโรงภาพยนตร์เพียง 7 โรง รายได้กว่า 70% ของไอแมกซ์มาจาก 3 สาขาที่อัปเกรดเป็นระบบ IMAX with Laser
หลังจากนี้ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้ประกาศแผนความร่วมมือครั้งใหญ่ ร่วมกับ IMAX Corporation เพื่ออัปเกรดระบบการฉายใหม่ที่ทันสมัยที่สุด “IMAX with Laser” ให้ครบทุกสาขาจากปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 3 สาขา ได้แก่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ไอคอน ซีเนคอนิค และ เมกา ซีนีเพล็กซ์ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา
สำหรับแผนความร่วมมือในอีก 3 ปี นับจากปี 2566-2568 จะดำเนินการอัปเกรดระบบการฉายไอแมกซ์จากระบบดิจิทัลเป็นระบบเลเซอร์ อีก 5 สาขา พร้อมทั้งมีแผนการขยายสาขาโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์แห่งใหม่เพิ่มอีก 5 สาขา ทำให้ภายในปี 2568 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จะมีโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ ในระบบฉาย “IMAX with Laser” รวมทั้งสิ้น 13 สาขา ตอกย้ำความเป็นผู้นำโรงภาพยนตร์ที่มอบสุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่ทันสมัย ได้อรรถรส และสมบูรณ์แบบที่สุดให้กับลูกค้า
สำหรับความสำเร็จของภาพยนตร์ Avatar : The Way of Water ที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าลูกค้าต้องการประสบการณ์ที่แปลกใหม่และดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการฉายในระบบ IMAX with Laser ได้ทำสถิติยอดขายสูงสุด นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการในประเทศไทยเมื่อปี 2541 โดยในปี 2565 การฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์สร้างรายได้ไปกว่า 147 ล้านบาท มากกว่ารายได้ของปี 2562 ที่ 140 ล้านบาท ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ในปี 2566 มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉายในโรงไอแมกซ์ เช่น Ant-man and the wasp : Quantumania ซึ่งรายได้กว่า 13% มาจากโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ และ Shazam! Fury of the gods รายได้กว่า 10% มาจากโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ รวมถึง ยังทำให้ภาพยนตร์ในตำนานอย่าง TITANIC ถูกนำกลับมาฉายใหม่ในรูปแบบ IMAX with Laser 3D ซึ่งสัดส่วนรายได้มากกว่า 50% มาจากโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์
“การที่โรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ได้นำระบบฉาย IMAX with Laser เข้ามาฉายถือเป็น Magnet สำคัญของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ในการดึงดูดผู้ชมให้เข้าชมในโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ เพื่อสัมผัสประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่ดีที่สุดที่หาไม่ได้จากการชมภาพยนตร์ที่บ้านหรือที่อื่น ๆ
และเพื่อเป็นการรองรับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อีกหลายเรื่องที่จะเข้าฉายในปี 2566 อาทิ Guardians of the Galaxy Vol.3, Mission , Fast X, The Little Mermaid, Impossible-Dead Reckoning Part One, Transformers : Rise of the Beasts, The Flash, Oppenheimer, Indiana Jones and the Dial of Destiny , Blue Beetle , The Marvels, Dune : Part Two และ Aquaman and the Lost Kingdom และยังเป็นปีที่มีภาพยนตร์ซึ่งถ่ายทำเพื่อขึ้นเป็นพิเศษเพื่อดึงศักยภาพของโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์”
อย่างไรก็ตามเพื่อสอดรับกับแผนการเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ในอนาคต เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป และ IMAX Corporation จะเริ่มอัปเกรดโรงภาพยนตร์ ไอแมกซ์ให้เป็นระบบ IMAX with Laser ให้ครบทุกสาขา โดยในระยะ 3 ปีจากนี้ไป (ปี 2566-2568) จะมีการอัปเกรดเป็นระบบฉายใหม่ IMAX with Laser จำนวน 5 สาขา พร้อมแผนขยายสาขาใหม่ในระบบฉายใหม่ IMAX with Laser จำนวน 5 สาขา