คนไทยแห่เสริมภูมิคุ้มกันหันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น หนุนอุตสาหกรรมเสริมอาหาร “ไลฟ์ อินโนวา อินเตอร์เนชั่นแนล ” เร่งสปีดขยายฐานลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศ ชูการเป็นโรงงานผลิตแบบ One Stop Service เจาะกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่งบน้อย
นางสาวรัสรินทร์ ธนชัยวัฒนะโภคิน ประธานกรรมการ บริษัท ไลฟ์ อินโนวา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและความงาม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนต่างหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของภูมิคุ้มกัน ที่จะเห็นได้ว่ามีผู้เล่นในอุตสาหกรรมเสริมอาหารและสินค้าเพื่อสุขภาพหลายราย เริ่มมีการทำตลาดในกลุ่มดังกล่าวมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลของ EuroMonitor ในปี2559 ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินของประเทศไทยมีมูลค่า 53,810 ล้านบาท โดยก่อนหน้าคาดการณ์กันว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 74,247 ล้านบาท ในปี 2564 ขณะที่ Nutrition Business Journal (NBJ) ระบุว่าในปี2564 ที่ผ่านมาตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่ว โลกเติบโตถึง11% และในปี 2565 จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องประมาณ 3.8% ต่อเนื่อง แน่นอนว่าตลาดยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก
จากปัจจัยข้างต้นทำให้ “ไลฟ์ อินโนวา” มีผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาขอคำปรึกษาและรับจ้างผลิตสินค้าไปแล้วมากกว่า 50 แบรนด์ ส่วนมากจะเป็นสินค้าสำหรับชงดื่มและแบบเม็ด นับว่ามีผลตอบรับเป็นอย่างดีแม้จะเริ่มดำเนินธุรกิจเพียงระยะเวลาไม่นานมากนัก เนื่องจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันต้องการเป็นเจ้าของกิจการ สร้างแบรนด์เป็นของตัวเองมากกว่าในอดีต ขณะเดียวกันผู้ที่มีงานประจำก็ต้องการมีรายได้หลายช่องทางมากขึ้น และตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและความงาม ยังเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ มักเลือกเข้ามาทำธุรกิจ เนื่องจากเป็นตลาดที่เติบโตดีและมีผลกำไรที่ดี แม้จะมีปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ แต่สินค้าเพื่อสุขภาพยังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ต้องปรับผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคให้ทันและรวดเร็ว
ทั้งนี้ บริษัทเน้นให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการแนะนำวิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับตลาด ไม่ว่าจเป็นในส่วนของแบรนด์ สินค้า บรรจุภัณฑ์ จะต้องถูกคิดมาให้สอดคล้องกัน เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือและน่าสนใจมากขึ้น ควบคู่ไปกับใช้วัตถุดิบในการผลิตที่มีคุณภาพ นำมาผลิตสินค้าแก่ลูกค้า ขณะเดียวกันยังอยากลด Pain Point ในเรื่องของการติดต่อโรงงานการผลิต จะเห็นได้ว่าหลายครั้งที่การติดต่อโรงงานต่างๆ เพื่อผลิตสินค้านั้นมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน แต่นักธุรกิจรุ่นใหม่ต้องการความเร็ว เนื่องจากเทรนด์เปลี่ยนตลอด
ดังนั้น การทำธุรกิจต้องไปให้เร็ว ทำให้การเข้าถึงโรงงานที่รับผลิตสินค้ามีส่วนสำคัญอย่างมาก ที่จะทำให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นไม่ตกเทรนด์ในเรื่องของสินค้าที่จะทำตลาด เบื้องต้นบริษัทวางระยะเวลาขั้นตอนต่างๆ ไว้ให้เร็วที่สุดอย่างน้อย 1 เดือน ขณะที่โรงงานแห่งอื่นอาจจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานขั้นต่ำที่ประมาณ 6 เดือน
สำหรับแนวทางในการดำเนินธุรกิจในช่วง 1-3 ปีนับจากนี้ อยากจะขยายไปยังกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีงบน้อย จะเห็นได้ว่าในตลาดมีผู้ต้องการอยากสร้างแบรนด์และเป็นเจ้าของธุรกิจจำนวนมาก แต่มีงบประมาณที่จำกัด ทำให้บริษัทอยากส่งเสริมกลุ่มนี้ด้วยการมีแพ็คเกจในราคาเริ่มต้นที่ 5 หมื่นบาท ซึ่งอาจจะตอบโจทย์ในกลุ่มลูกค้าที่รับสินค้ามาจำหน่าย และต้องการออกแบบบรรจุภัณฑ์ของตัวเอง โดยได้เริ่มทดลองตลาดไปแล้ว มีผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก รวมถึงยังจะพัฒนาสินค้าและหาโซลูชั่นต่างๆ เข้ามาในการผลิตให้มากขึ้น เพื่อให้ยอดการผลิตซ้ำจากแบรนด์ต่างๆ ขยายตัวมากขึ้น
ด้านกลยุทธ์ที่จะทำให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องนั้น บริษัทได้วาง Positioning ของบริษัทฯ ที่ไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิต แต่เป็นเพื่อนคู่คิดสำหรับธุรกิจ โดยเริ่มจากทางบริษัทฯ มีทีมนักวิจัยและพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญ คิดค้นสูตร อัพเดทเทรนด์ และสารสกัดต่างๆ ให้สอดคล้องต่อความต้องการของตลาดกลุ่ม Wellness ในปัจจุบันเพื่อเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแบรนด์ รวมทั้งมีบริการแบบ One Stop Service ที่มีการผลิตแบบมาตรฐาน การออกแบบ Logo หรือการออกแบบ Corporate Branding รวมทั้ง Packaging ให้ทันสมัยตรงตามความต้องการของลูกค้า พร้อมช่วยดูแลหลังจากการผลิตมีบริการให้คำปรึกษาการตลาดต่างๆ อาทิ การยิงโฆษณา และการติดต่อ KOL Marketing พร้อมทั้งช่องทางการวางจำหน่าย ทั้งรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ตามสื่อโซเชียวมีเดีย และที่สำคัญบริษัทฯ มีการคิดขยายต่อยอดของธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอีกด้วย
นอกเหนือจากการขยายฐานลูกค้าในประเทศไทย บริษัทฯ ยังต้องการขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่พำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึง สปป. ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จะเห็นได้ว่าประเทศทางแถบในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ มีความต้องการอาหารเสริมที่คล้ายกับคนไทย และชื่นชอบสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยเป็นอย่างมาก เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเริ่มขยายสู่ตลาดต่างประเทศอย่างเต็มที่ได้ในช่วงปี 2567 และเพิ่มสัดส่วนยอดขายที่มาจากต่างประเทศเป็นอย่างน้อย 20% ในอนาคต