นางสาวกนกพรรณ เกรียงไกรกฤษฎา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการขยายธุรกิจทางด้านตลาดความงามอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เนื่องจากมองเห็นศักยภาพของตลาดความงามที่ต่อยอดได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีการผลิตที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ เทรนด์สุขภาพและความงามที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่
รวมไปถึงการจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง E-Commerce ที่กำลังเป็นกระแส จึงเป็นการเพิ่มโอกาสให้ขยายกลุ่มลูกค้าในตลาดความงามได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับเทรนด์ธุรกิจความงามของกลุ่มลูกค้าคนไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากช่วง 2-3 ปี ที่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและส่งผลต่อไลฟ์สไตล์ ทำให้พฤติกรรมในการซื้อสินค้าความงาม ความต้องการของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ความงามในไทยมีการฟื้นตัว
อย่างไรก็ดี จากการติดตามพฤติกรรมการจับจ่ายผลิตภัณฑ์ความงามเทรนด์หลักอย่างราคาของสินค้าที่เหมาะสม ช่องทางการขาย ที่เข้าถึงง่าย และมีการให้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญคือสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญ ทำให้บริษัทมองเห็นจึงได้จัดเต็มทั้งผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ความรู้และแนะนำเทรนด์ยอดนิยมในหมวดหมู่ต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ คอสเมติค อาหารเสริม และบรรจุภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสร้างแบรนด์และผลิตสินค้าความงามเป็นของตัวเอง ด้วยโรงงานที่มีมาตรฐาน ได้รับการรับรองจากองค์กรควบคุมและรับรองมาตรฐานการผลิตชั้นนำ เช่น ISO, GMP, ISO22716, GHPs, HACCP, CODEX และ HALAL
อีกทั้งยังเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพจากประเทศผู้ผลิตชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา เกาหลีและญี่ปุ่น รวมไปถึงมีการตรวจสอบทุกกระบวนการ ตั้งแต่การผลิตจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
นอกจากนี้ สินค้าของบริษัททุกชนิดผ่านการวิจัยและพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญอีกทั้งมาตรฐานสากลต่างๆที่องค์กรธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นในการมุ่งสู่การเป็นผู้นำการตลาดผลิตสินค้าสุขภาพ และความงามไทยไปพร้อมกับการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้บริษัทได้วางแผนที่จะเร่งเดินหน้าการตลาดผลิตสินค้าสุขภาพและความงาม ทั้งเครื่องสำอาง เวชสำอาง อาหารเสริม และสมุนไพร เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตลอดปี
สำหรับภาพรวมยอดขายของบริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2567 ประเมินว่า จากการรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความสนใจที่จะขยายตลาดใหม่สู่ประเทศอาเซียน ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดตลาดในต่างประเทศทั้งพม่า กัมพูชา ฟิลิปปินส์ รวมถึงตะวันออกกลาง สำหรับตลาดธุรกิจความงามในภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามตลาดในไทย