นายมาริส อโบลตินส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าเมกาบางนา และโครงการเมกาซิตี้ เปิดเผยว่า ทิศทางการบริหารงานจะเริ่มด้วยการเดินหน้าผลักดันโครงการเมกาซิตี้ เร่งศึกษาศักยภาพในทุกมิติเพื่อพัฒนาพื้นที่ พร้อมแสวงหาความร่วมมือพันธมิตร นักลงทุน ร่วมพัฒนาโครงการมิกซ์ ยูส ที่ครบที่สุดของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันนออก โดยชูกลยุทธ์ย้ำจุดแข็งเมกาบางนาด้วย TENANT MIX กับความหลากหลายและครบครันของร้านค้าที่ตอบสนองกับทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนในทุกๆ วัน ตอกย้ำการเป็น YOUR EVERYDAY MEETING PLACE ดึงแบรนด์ดัง ร้านอินเทรนด์ สร้างแม็กเน็ต เติมเต็มความต้องการลูกค้าเดิม เพิ่มทราฟฟิกลูกค้าใหม่ ยกระดับ LOYALTY PROGRAM สำหรับสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส ด้วย THE ULTIMATE EXPERIENCE
พร้อมมอบสิทธิพิเศษและประสบการณ์ที่มากกว่า ด้วยการเข้าถึงอินไซต์ตรงกับความต้องการของทุกเจนเนอเรชั่น ด้วยงบการตลาดปี 2567 รวมกว่า 200 ล้าน ประเดิมฉลองครบรอบ 12 ปี จัดงาน 12th ANNIVERSARY 365 MEGA MOMENTS สานต่อกลยุทธ์ COLLABORATED EXPERIENCE ทั้งจับมือศิลปินนักวาดภาพชื่อดัง JIRAYU KOO - จิรายุ คู ออกแบบผลงานศิลปะสุดเอ็กซ์ คลูซีฟ ต่อยอดปั้น INSTALLATION ART และบรรยากาศการตกแต่งศูนย์การค้าที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งความสุข พร้อมมอบสิทธิพิเศษ กิจกรรม และของสมนาคุณ แทนคำขอบคุณตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 – 31 พฤษภาคม 2567
โดยกลยุทธ์แนวทางการบริหารศูนย์การค้าเมกาบางนามีจุดแข็งในด้าน TENANT MIX เปิดให้บริการในปี 2555 ปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการรวมแล้วกว่า 550 ล้านคน สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ระดับภูมิภาคอาเซียนได้อย่างชัดเจน ในขณะนี้เมกาบางนาที่มีพื้นที่ขายรวมกว่า 240,000 ตารางเมตร มีอัตราการเช่า (Occupancy Rate) 100% โดยผู้เช่าหลักที่เป็นแม็กเน็ตสำคัญ ได้แก่ IKEA, CENTRAL @ MEGABANGNA, HOMEPRO, BIG C Extra, MEGA CINEPLEX และมีร้านค้า ร้านอาหาร ศูนย์บริการต่างๆ รวมทั้งหมดกว่า 900 ร้านค้า ซึ่งมองว่าเมกาบางนา ยังมีศักยภาพในด้านการขยายพื้นที่ให้กับแบรนด์สินค้าต่างๆ ที่ต้องการมาเปิดสาขาเพื่อรองรับกำลังซื้อในย่านกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก แบะยังให้ความสำคัญกับการดึงแบรนด์ที่ตอบโจทย์กับลูกค้าของ เมกาบางนาเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเดิมและเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ ซึ่งในปีนี้มีแบรนด์ที่เข้ามาเปิดสาขาแล้ว อาทิ NIKE FLAGSHIP STORE, H&M HOME, FAMTIME, LA MEOW BBQ & BISTRO และกำลังจะเปิดในเร็วๆ นี้ อาทิ POP MART , LONGINES, CARE BEAR CAFÉ’, NIKO AND…, LONG JOHN’S SILVER, BHC CHICKEN, SINDOSEGI และ EASY! BUDDY เป็นต้น
ทั้งนี้ มีแผนงานในการดึงร้านค้า แบรนด์ดัง ร้านค้าที่อยู่ในกระแสได้รับความนิยม ร้านอาหาร ศูนย์บริการต่างๆ ที่ครอบคลุมในทุก CATEGORY เพื่อมาเสริมศักยภาพของเมกาบางนาให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจากกลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้เมกาบางนาเป็นสวรรค์ของการช้อปปิ้งและการใช้ชีวิตที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม
นายมาริส กล่าวว่า เมกาบางนา เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ระดับภูมิภาคอาเซียน การได้เข้ามาร่วมงานกับเมกาบางนาครั้งนี้ นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะนำประสบการณ์จากการทำงานในธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์กว่า 15 ปี มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด โดยเคยผ่านการทำงานกับเชนห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในกลุ่มประเทศยุโรป รับผิดชอบครอบคลุมทั้งด้านงานพัฒนาศูนย์การค้า การก่อสร้าง การบริหารร้านค้า ผู้เช่าและพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ รวมไปถึงมีประสบการณ์การทำงานร่วมกับ IKEA ในยุโรปหลายประเทศ ซึ่งจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญดังกล่าวเชื่อมั่นว่าสามารถขับเคลื่อนเมกาบางนาได้ในทุกมิติ โดยยังคงตอกย้ำการเป็น YOUR EVERYDAY MEETING PLACE ของเมกาบางนา ที่ได้ดำเนินงานมาตลอดระยะ 12 ปี รวมทั้งยังมีเป้าหมายในการรักษาลูกค้าเดิมควบคู่กับการขยายฐานลูกค้าใหม่ให้มากขึ้น ด้วยการสร้างประสบการณ์และ การมอบข้อเสนอที่มีความแตกต่าง แปลกใหม่และเข้าถึงความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายได้อย่างแท้จริง เพื่อเป็นมากกว่าแหล่งช้อปปิ้งแต่เป็นการใช้ชีวิตสำหรับคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ทุกครอบครัว
ส่วนโครงการเมกาซิตี้ยังสามารถพัฒนาได้อีกมาก โดยหนึ่งในตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการเมกาซิตี้ คือ การดึงสปอร์ตเอนเตอร์เทนเมนท์ชื่อดังที่เปิดมาแล้ว 70 แห่งทั่วโลก อย่าง TOPGOLF มาเปิดให้บริการเป็นสาขาแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนส่วนต่อขยายของเมกาบางนา การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโรงแรม อาคารสำนักงาน รวมถึงการพัฒนาพื้นที่รีเทลเพิ่มเติม ซึ่งจากจุดแข็งของทำเลย่านบางนา-ตราดที่ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะทำให้ย่านบางนา-ตราด ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง การมีโครงการมิกซ์ ยูส ขนาดใหญ่อย่างโครงการเมกาซิตี้ จะสามารถรองรับความต้องการทั้งด้านที่อยู่อาศัยและการบริโภคได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันโครงการฯ อยู่ระหว่างการขยายระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งได้มีแนวทางการพัฒนาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อผลักดันให้โครงการเมกาซิตี้ เป็นโครงการมิกซ์ ยูส ที่สมบูรณ์แบบของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก
“การให้ความสำคัญกับ LOYALTY PROGRAM สำหรับสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 360,000 คน โดยจากการรวบรวมข้อมูลในการเข้ามาใช้บริการและการเข้าร่วมกิจกรรม รวมถึงการรับสิทธิพิเศษต่างๆ นั้น สมาชิกต่างให้ความสนใจกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยในปีนี้ ได้มีแผนงานเพื่อยกระดับสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก ภายใต้แนวคิด THE ULTIMATE EXPERIENCE ที่จะมอบประสบการณ์และสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิกเมกา สไมล์ รีวอร์ดส ที่แตกต่างและเหนือกว่าเดิม โดยจะมุ่งเน้นการให้สิทธิพิเศษที่มากยิ่งขึ้น อาทิ ที่จอดรถพิเศษสำหรับสมาชิกฯ ส่วนลดและบัตรกำนัลที่มากกว่าเดิม รวมถึงการรับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ตรงกับความต้องการ ความชอบ ไลฟ์สไตล์ ของสมาชิก โดยจะมีการเปิดตัวโปรแกรมต่างๆ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้”
อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ได้วางงบประมาณทางการตลาดไว้ที่ 200 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกได้จัดแคมเปญทั้ง Seasonal Campaign และ Monthly Campaign มาตั้งแต่เทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน และสงกรานต์ รวมถึงการจัดกิจกรรมสำหรับคอมมูนิตี้ต่างๆ เช่น Mega Pet Day และในเดือนพฤษภาคมนี้ เป็นโอกาสครบรอบ 12 ปี ของเมกาบางนา จึงตั้งใจมอบความพิเศษสำหรับลูกค้าทุกคน เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จร่วมกัน ในแคมเปญ 12th ANNIVERSARY 365 MEGA MOMENTS โดยสานต่อกลยุทธ์ COLLABORATED EXPERIENCE ด้วยการร่วมกับศิลปินนักวาดภาพชื่อดัง JIRAYU KOO (จิรายุ คู) หรือ คุณจิรายุ คูอมรพัฒนะ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะซึ่งเราได้นำผลงานมาต่อยอดสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้า ตั้งแต่การตกแต่งบรรยากาศของศูนย์การค้า การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การจัดทำของสมนาคุณเอ็กซ์คลูซีฟคอลเลคชั่น
“ตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่ผ่านมา เมกาบางนามีแนวคิดสำคัญ คือ We Create A Better Everyday Life for the Many People ที่มุ่งทำให้เมกาบางนา เป็นพื้นที่ที่จะยกระดับการใช้ชีวิตสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกคอมมูนิตี้ ในทุกๆวัน ซึ่งได้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ทิศทางต่อไปจากนี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาในทุกมิติ ทั้งเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ สังคม และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้ภาคการค้าปลีกของไทยโดดเด่นและแตกต่างในระดับโลกต่อไป”