นางสาวณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตลาดขนมขบเคี้ยวในไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจาก ขนมขบเคี้ยวไทยเป็นที่รู้จักและชื่นชอบไปทั่วโลก ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ กรรมวิธีการผลิต และคุณภาพ ขณะที่ตลาดขนมขบเคี้ยวก็เผชิญกับอุปสรรคบางประการ ได้แก่ ความกังวลด้านสุขภาพ ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงอันตรายจากการทานขนมขบเคี้ยวมากเกินไป เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ อีกทั้งตลาดมีการแข่งขันสูง จากแบรนด์ท้องถิ่นและต่างประเทศที่เข้ามาจำนวนมาก จึงเกิดการแข่งขันด้านราคาและโปรโมชั่นที่มากขึ้น
สำหรับปีนี้บริษัททุ่มงบการตลาดราว 70 ล้านบาทสำหรับสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ให้มีความทันสมัย เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยมีเป้าหมายขยายฐานลูกค้าจากเดิมที่เน้นกลุ่มอายุ 22-45 ปี ไปกลุ่มคนรุ่นใหม่ตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
โดยปัจจุบันบริษัทส่งออกไปจำหน่ายใน 12 ประเทศทั่วโลก ซึ่งปีนี้จะเน้นขยายตลาดจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่มีศักยภาพสูง โดยตลาดจีนมีแผนรุกทุกแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ และปรับแพ็กเกจจิ้งให้เหมาะกับผู้บริโภคชาวจีน รวมถึงสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่าน Key Opinion Leaders (KOLs) ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกา เน้นทำตลาดในกลุ่มคนไทยที่อาศัยอยู่ในอเมริกา ขยายช่องทางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย เข้าร่วมงานแสดงสินค้าเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์
นอกจากนี้มีการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ผ่านกลยุทธ์ “ขนมฮาลาล” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามหลักศาสนาอิสลาม ควบคู่กับการขยายตลาดสู่ประเทศต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายกลุ่มทั่วโลก รวมทั้งวางแผนเจาะตลาดใหม่เพิ่มอีก 2-3 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ เนื่องจากมองเห็นโอกาสจากกระแสความนิยมในสินค้าไทย มีอินไซด์ไอดอลเกาหลีนำสินค้าเจ้าสัวไปรีวิวแบบออร์แกนิกจำนวนมาก
นางสาวณภัทร กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 80% จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตราว 60% และมีแผนจะใช้เงินลงทุนราว 400 ล้านบาทภายใน 2 ปีข้างหน้าสำหรับการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่และเพิ่มเครื่องจักร ที่จ. นครราชสีมา โดยโรงงานแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตหลักสำหรับรองรับการขยายตลาดส่งออกในอนาคต
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 2564 มีรายได้รวม 1,135 ล้านบาทกำไรสุทธิ 64 ล้านบาท ปี 2565 รายได้รวม1,414 ล้านบาท กำไรสุทธิ 87 ล้านบาท ส่วนปี 2566 รายได้รวม1,493 ล้านบาท กำไรสุทธิ 162 ล้านบาท และปี 2567 ไตรมาสแรกเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
และคาดว่าในปีนี้จะมีการเติบโตราว 15% โดยมี 2 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ ข้าวตัง ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาด 78.5% จากมูลค่าตลาดรวม 1,400 ล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ย 14.6% ต่อปี และขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากหมูซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 57.2% จากมูลค่าตลาดรวม 1,000 ล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ย 23% ต่อปี
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 3,994 วันที่ 23 - 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2567