ไอ-เทล ทุ่ม 2,000 ล้าน รีแบรนด์ครั้งใหญ่ หวังดันยอดขายโต 15%

07 มิ.ย. 2567 | 22:15 น.

ไอ-เทล ทุ่ม 2,000 ล้าน รีแบรนด์ใหม่ ดึงพรีเซนเตอร์ "ฟิล์ม ธนภัทร" และ "มารี เบิร์นเนอร์" หวังดันยอดขายในประเทศโต 15% พร้อมเดินหน้าบุกตลาดมุสลิม-ซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างประเทศ

นายพรชัย ตติยชัยทวีสุข ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการพาณิชย์ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอาหารสัตว์โลกมีมูลค่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 1.46 ล้านล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 6% สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสสำหรับธุรกิจอาหารสัตว์ในระดับโลก

ส่วนประเทศไทยตลาดอาหารสัตว์มีมูลค่า 40,000 ล้านบาท โดยทิศทางอาหารสัตว์ในครึ่งปีแรกปีมีการเติบโตราว 30% มาจากเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกของผู้บริโภค ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงการระบาดของโควิด-19 และยังคงเติบโตต่อเนื่อง

ไอ-เทล ทุ่ม 2,000 ล้าน รีแบรนด์ครั้งใหญ่ หวังดันยอดขายโต 15%

สำหรับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกของเรา เพราะเราได้ตกลงราคาและค่าใช้จ่ายกับลูกค้าไว้เรียบร้อยแล้วในช่วงต้นปี ในฐานะผู้ผลิต OEM (ผู้รับจ้างผลิตสินค้า) ลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรง อย่างไรก็ตาม ใน อนาคต หากค่าแรงขั้นต่ำส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของเราอย่างมีนัยสำคัญ ทางบริษัทอาจจำเป็นต้อง ปรับลดปริมาณอาหารสัตว์ลง

ในปีนี้บริษัทใช้งบลงทุน 2,100 ล้านบาท เน้นทำระบบ Automation (ใช้เทคโนโลยีให้ทำงาน)ในการผลิต อีกทั้งรีแบรนด์ใหม่ครั้งใหญ่ ซึ่งการรีแบรนด์ครั้งนี้ได้ใช้กลยุทธ์สร้างการรับรู้ผ่านพรีเซนเตอร์ ไดแก่ ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ และ มารี เบิร์นเนอร์ ในฐานะแบรนด์พรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์อาหารแมวสูตรพรีเมียม “เบลลอตต้า” (Bellotta) และอาหารแมวและสุนัขสูตรเป็นมิตรต่อไต “เชนจ์เตอร์” (ChangeTer) เพื่อเอาใจ Pet Parents บรรดาเหล่าทาสแมวและสุนัขในประเทศไทย 

ไอ-เทล ทุ่ม 2,000 ล้าน รีแบรนด์ครั้งใหญ่ หวังดันยอดขายโต 15%

นายพรชัย กล่าวว่า ปัจจุบันเราเน้นการส่งออกเป็นหลักถึง 98% มุ่งเน้นไปที่ 3 ตลาดหลัก ได้แก่ อเมริกา เยอรมัน และญี่ปุ่น สำหรับตลาดอเมริกา ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ของยอดส่งออกทั้งหมด เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่กล้าใช้จ่ายเงินกับสัตว์เลี้ยง แม้เศรษฐกิจจะไม่ดีก็ตาม แต่การซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงในอเมริกาเป็นอันดับ 1 ของตลาด

ทั้งนี้บริษัทจะเน้นช่องทางหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงไปที่โมเดิร์นเทรดเป็นหลักในประเทศไทย โดยปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกไปแล้ว 10 ประเทศทั่วโลก ประเทศล่าสุดที่ส่งออกไปคือ บาห์เรน สำหรับแผนในอนาคต มุ่งเน้นไปที่ตลาดมุสลิม และซุปเปอร์มาร์เก็ตในอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ อิตาลี สเปน และแคนาดา โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายเติบโต 15%

นายพรชัย กล่าวว่า ด้วยกระแสเทรนด์โลกเกี่ยวกับ Pet Humanization และความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย สิ่งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญของเราในการแสดงศักยภาพและตอกย้ำแบรนด์ Bellotta และ ChangeTer ของเราให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นสำหรับตลาดในประเทศ เพื่อเป้าหมายการตอบโจทย์ Pet Parent และสัตว์เลี้ยงที่เป็นลูกค้าตัวจริงของเราได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ