สหพัฒน์ MOU 2 บริษัทยักษ์ญี่ปุ่น รุกธุรกิจบิวตี้-ค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ด

27 มิ.ย. 2567 | 10:48 น.

เครือสหพัฒน์ MOU 2 บริษัทยักษ์ญี่ปุ่น จับมือฟาสต์บิวตี้ ร่วมเป็นพันธมิตรเปิดร้านทำสีผม ‘fufu’ เดินหน้าส่งเสริมธุรกิจในไทยและต่างประเทศ ผนึก “เอตัวล์ ไคโตะ” ลุยธุรกิจค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ดจากญี่ปุ่น

เครือสหพัฒน์ จับมือ ฟาสต์บิวตี้ ร่วมเป็นพันธมิตรเปิดร้านทำสีผม ‘fufu’

นายพิภพ โชควัฒนา กรรมการ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง กล่าวว่า ตลาดร้านเสริมสวยในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยปีละ 20-30% ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองโดยเฉพาะการทำผม

ข้อมูลจาก “สำนักงานสถิติแห่งชาติ” ระบุว่า ประเทศไทยมีร้านเสริมสวย หรือร้านทำผม (Salon) กว่า 120,000 ร้านทั่วประเทศ คิดเป็นมูลค่าตลาด 60,000 ล้านบาท ในขณะที่บริการที่ทำรายได้หลักให้กับร้านเสริมสวย 70% มาจากบริการทำสี และดัดผม

สหพัฒน์  MOU 2 บริษัทยักษ์ญี่ปุ่น รุกธุรกิจบิวตี้-ค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ด

ปัจจัยที่ทำให้ตลาดร้านเสริมสวยเติบโตมาจากเทรนด์แฟชั่น สื่อ ต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย นิตยสาร และรายการโทรทัศน์ ล้วนมีอิทธิพลต่อเทรนด์แฟชั่น รวมถึงเทรนด์ทรงผมด้วย คนไทยมักจะติดตามเทรนด์ทรงผมจากดารา และไอดอล อีกทั้งราคาของบริการเสริมสวย ในประเทศไทยไม่แพงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้ง่าย

จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดธุรกิจร้านทำผม เครือสหพัฒน์จึงได้ร่วมทุนกับฟาสต์บิวตี้ ธุรกิจร้านทำผมอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น เตรียมเปิดร้านทำสีผมแบรนด์ "fufu" สาขาแรกในประเทศไทย ใจกลางย่านทองหล่อ ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้

นายพิภพ กล่าวว่า "การร่วมทุนกับฟาสต์บิวตี้ในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดธุรกิจของเครือสหพัฒน์ที่มุ่งมั่นขยายธุรกิจด้านความงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจร้านทำผมที่มีศักยภาพการเติบโตสูง fufu เข้ามาตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสีผม

สำหรับร้านทำสีผม "fufu" ในประเทศไทย มุ่งเน้นสร้างช่างทำสีผมมืออาชีพด้วยคนไทย โดยร้านจะใช้ช่างทำสีผมและ Hair Stylist คนไทยที่ผ่านการฝึกอบรมทักษะใหม่ เทคนิคการทำสีผม และการดูแลเส้นผมอย่างเข้มข้นจากเชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น การฝึกอบรมช่างทำสีผมชาวไทยเริ่มต้นตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มุ่งเน้นถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านการทำสีผมจากญี่ปุ่นให้ช่างไทยได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะอย่างเต็มศักยภาพ

นอกจากนี้ เครือสหพัฒน์ ยังมุ่งมั่นพัฒนาทักษะและเทคนิคให้กับช่างทำสีผมชาวไทยในร้านเสริมสวยที่เป็นพันธมิตรกับเครือสหพัฒน์ รวมถึงร้านเสริมสวยอื่นๆ ทั่วประเทศ ผ่านคอร์สอบรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นในอนาคต เป้าหมายของเครือสหพัฒน์ คือ การยกระดับฝีมือช่างทำสีผมชาวไทย ให้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานสากล

นายเคน ทาคาฮาชิ ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัท ฟาสต์บิวตี้ จำกัด กล่าวว่าตลาดร้านเสริมสวยในประเทศญี่ปุ่นมีส่วนแบ่งตลาด 10% ด้วยประสบการณ์ในญี่ปุ่นกว่า 10 ปี ทำให้เรามีทั้งหมด 130 สาขาและฐานลูกค้ากว่า 1 ล้านคนต่อปีส่วนแผนขยายสาขาปีนี้เปิดเพียง 1 สาขาเท่านั้น แต่แผนสำหรับระยะยาวตั้งเป้า 20-30 สาขา และในอนาตคตั้งเป้า 100 สาขา ทั่วประเทศ

เครือสหพัฒน์ จับมือผู้นำค้าส่งจากญี่ปุ่น เอตัวล์ ไคโตะ

ผู้นำค้าส่งรายใหญ่ของไทยและญี่ปุ่น “เครือสพัฒน์ - เอตัวล์ ไคโตะ” ประกาศความร่วมมือที่จะนำประสบการณ์ทางธุรกิจค้าส่งที่มีมาอย่างยาวนาน มาสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ของแต่ละฝ่าย ขยายสู่ตลาดต่างประเทศ

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า เครือสหพัฒน์ เริ่มต้นธุรกิจค้าส่งในประเทศไทยมาเป็นเวลา 80 ปี จากนั้นจึงขยายไปสู่ธุรกิจการผลิต และธุรกิจค้าปลีกและมีตัวแทนจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในขณะที่ เอตัวล์ ไคโตะ (Etoile Kaito) เริ่มต้นธุรกิจด้วยการเป็นผู้ค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ดและสินค้าแฟชั่นในญี่ปุ่น จนปัจจุบันก้าวเป็นผู้นำค้าส่งสินค้าครบวงจร อาทิ สินค้าแฟชั่นและความงาม ไลฟ์สไตล์ อุปโภค บริโภค ของใช้ในครัวเรือนและ สินค้าตกแต่งภายในที่มีมากกว่า 700,000 รายการ

สหพัฒน์  MOU 2 บริษัทยักษ์ญี่ปุ่น รุกธุรกิจบิวตี้-ค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ด

ทั้งเครือสหพัฒน์และเอตัวล์ ไคโตะ เห็นโอกาสในการทำธุรกิจร่วมกัน จึงได้ลงนามบันทึกความเข้าใจในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายที่อยู่ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งสามารถขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น โดยอาศัยวิธีการจำหน่ายแบบ Hybrid Platform ของทั้งสองฝ่าย อาทิการจำหน่ายทั้งในร้านค้า,ช่องทางออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ และไลฟ์คอมเมิร์ซ (Live Commerce) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการจำหน่ายแบบเดิม ๆ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน

นายคินโนะสุเกะ ฮายาคาวะ ประธานบริษัท เอตัวล์ ไคโตะ กล่าวว่า เอตัวล์ ไคโตะ ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 120 ปี เริ่มต้นธุรกิจด้วยการเป็นผู้ค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ดแฟชั่นในญี่ปุ่น โดยยึดมั่นในปรัชญา "สินค้าดี ในเวลาที่เหมาะสม ในปริมาณที่พอเหมาะ" ด้วยปรัชญานี้ เอตัวล์ ไคโตะ จึงได้จัดหาสินค้าที่มีความหลากหลาย อาทิ เสื้อผ้า อาหาร และของใช้ในครัวเรือน จนปัจจุบัน เติบโตขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งระบบสมาชิกที่จำหน่ายสินค้าแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ สินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งสินค้าอื่นๆ อย่างครบวงจร

“ช่องทางการจำหน่ายของเอตัวล์ ไคโตะ ไม่ได้มีแค่ในญี่ปุ่น แต่ยังมีช่องทางจำหน่ายในไต้หวัน ฮ่องกง จีน และเกาหลีใต้ การร่วมมือกันในครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่เอตัวล์ ไคโตะ จะได้นำสินค้าไปจำหน่ายผ่านช่องทางของเครือสหพัฒน์ ขณะเดียวกัน เครือสหพัฒน์ก็จะนำสินค้ามาจำหน่ายผ่านช่องทางของเอตัวล์ ไคโตะ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของทั้ง 2 ฝ่ายที่จะได้เปิดตลาดใหม่ในช่องทางใหม่ ๆ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น” นายคินโนะสุเกะ กล่าว