นายฟ้าใหม่ ดํารงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า GMM Music กำลังเปลี่ยนผ่านจาก media business ไปสู่การเป็น IP business เพื่อขยายธุรกิจเพลงและธุรกิจดิจิทัลที่เป็นแรงผลักดันสำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรมเพลงยุคใหม่ พร้อมเสริมแกร่งการต่อยอดธุรกิจเพลงสู่ตลาดโลกด้วยการดึงพันธมิตรระดับโลกเข้ามาร่วมลงทุนเชิงกลยุทธ์อย่าง “เทนเซ็นต์ มิวสิค เอ็นเตอร์เทนเมนต์ กรุ๊ป” ผู้นำธุรกิจดนตรีและความบันเทิงในเครือของเทนเซ็นต์ และ “เทนเซ็นต์ โฮลดิ้ง ลิมิเตท”
2 ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี และ Platform จากประเทศจีน เพื่อการเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทขยายไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นทั่วเอเชีย ร่วมกันผลักดันแผนการ IPO ของบริษัทให้ประสบผลสำเร็จ นับเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับ GMM Music ที่ต้องการสร้างโอกาสทางธุรกิจ (Upscale Opportunity) ด้านการขยายธุรกิจเพลงและธุรกิจดิจิทัล ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรมเพลงยุคใหม่ รวมถึงร่วมกันยกระดับคุณภาพเพลงไทยในด้านการผลิต (Uplift Quality) และตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าบริษัท (Unlock Value) ด้วยการแลกเปลี่ยนทรัพยากรและองค์ความรู้เชิงลึก ทั้งในด้านการตลาดและการขาย รวมไปถึงเทคโนโลยีการบริหารจัดการลูกค้า และการพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนสู่อนาคต
"ในตลาดระดับโลกโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเพลง เรากำลังก้าวไปสู่สิ่งที่เรียกว่า ยุค Music Second Wave หมายถึง สภาพการณ์ที่ตลาดเพลงกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกเพราะ การเติบโตของ Digital Streaming จะเห็นได้ว่ามูลค่าของอุตสาหกรรมเพลงทั่วโลก คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสองเท่า หรือราว 131 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2573"
ซึ่งเป็นตัวเลขจากงานวิจัยของ Goldman Sachs สอดคล้องกับการเติบโตของ GMM MUSIC ที่มีรายได้เติบโตขึ้นเป็นจำนวนหลายพันล้านบาทซึ่งเป็นสองเท่าจากปี 2558 และการคาดการณ์ล่วงหน้าในอีก 6 ปี รายได้ของเราก็จะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าในปี 2573 จะเห็นได้ว่าตลาดเพลงเติบโตรวดเร็วมาก โดยเฉพาะประเทศไทย ที่บริการสตรีมมิ่งเพลง รวมทั้ง Music Subscription กำลังได้รับความนิยม และเติบโตอย่างมาก ทำให้ที่ผ่านมาเราเติบโตได้ประมาณ 30% เทียบกับปีที่ผ่านมาด้วย Music IP ที่มากที่สุด
สำหรับภาพรวมในเอเชียเองก็มีการเติบโตที่เร็วกว่าตลาดโลก โดยมีการเติบโตปีละประมาณ 15% เมื่อเทียบกับตลาดโลกที่เติบโตปีละประมาณ 10% เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าวทั้งนี้ GMM Music ได้วาง กลยุทธ์ขยายความร่วมมือกับผู้นำธุรกิจเพลงชั้นนำในตลาดโลก
เพื่อขยายสู่ตลาดเอเชียและตลาดนานาชาติ โดยเฉพาะ จีน คือ หนึ่งในตลาดเป้าหมายของเรา เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีโอกาสที่ใหญ่มาก ซึ่ง Tencent และ TME ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในตลาดจีน เราจึงร่วมมือที่จะขยายโอกาสทางธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ ที่ใหญ่กว่าเดิม นอกจากนี้ เรายังมีพันธมิตรในอีกหลายประเทศในเอเชีย ที่ผ่านมาเราได้ร่วมมือกับ YG Entertainment จากเกาหลีในการจัดตั้ง YGMM และ LDH จากญี่ปุ่นในการจัดตั้ง G&LDH เพื่อขยายตลาดธุรกิจ IP ไปสู่ภูมิภาคเอเชียให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การร่วมลงทุนเชิงกลยุทธ์กับ Tencent และ TME ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 70 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้น 10% ใน GMM Music ประเมินเป็นมูลค่าของบริษัทที่ 700 ล้านดอลลาร์ โดยจะเข้ามาช่วยเร่งอัตราการเติบโตของ GMM Music อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้พร้อมเปิดรับโอกาสทางธุรกิจในยุคใหม่ รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถของบริษัท
และขยายไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นทั่วเอเชีย พร้อมร่วมกันผลักดันแผนการ IPO ของบริษัทให้ประสบผลสำเร็จ โดยเราวางแผนจะ IPO ในเวลาที่เหมาะสมภายใน 2 ปี เพราะเชื่อว่าความที่เราเป็น music pure play ที่มี unique contribution เป็นจุดแตกต่างที่ทำให้เราเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับ GMM Music ที่จะสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืน”
สำหรับ "GMM Grammy" ประกอบธุรกิจมาเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี เรามี catalog เพลงกว่า 5 หมื่นเพลง ซึ่งในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนผ่านจาก media business ไปสู่การเป็น IP business เพื่อขยายธุรกิจเพลงและธุรกิจดิจิทัล ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรมเพลงยุคใหม่ ตลอดจนการต่อยอดธุรกิจเพลงสู่ตลาดโลก