นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ วี ฟู้ดส์ และ วี ฟาร์ม กล่าวว่า แม้สถานการณ์เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะยังไม่นิ่งและมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง เช่น กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม และความขัดแย้งทางการเมือง
แต่ตลาดของผลิตภัณฑ์นมทางเลือกกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเติบโตเร็วกว่าตลาดนมวัว โดยมีอัตราการเติบโต 8-9% สำหรับน้ำนมข้าวโพด ยังคงมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากความนิยมของผู้บริโภค ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
อีกทั้งในปัจจุบันเทรนด์ Ready to Drink ผู้บริโภคชอบความสะดวกสบาย ทำให้นมทางเลือกประเภทพร้อมดื่มเป็นที่นิยม ที่สำคัญในช่วงปลายมีเทศกาลกินเจ ทำให้บริษัทมียอดขายเติบโตราว 30% และมีส่วนแบ่งทางการตลาดสำหรับร้านค้าสะดวกซื้อ 64%
ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโตถึง 3 เท่า ยอดขายเฉลี่ย 8,000-9,000 ขวดต่อวัน ทำให้เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อให้เพียงพอต่อปริมาณที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนี้ยังตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นอีก 25% หรือ 250 ล้านบาทในปีนี้
ล่าสุดบริษัทร่วมมือกับศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ (ไร่สุวรรณ) เป็นรูปแบบพาสเจอร์ไรซ์ เน้นความสดใหม่หลังเก็บ 1 วัน ส่งเข้าโรงงานผลิตทันที ปัจจุบันมีกำลังผลิต 5,000 ขวดต่อวัน ถือเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีความโดดเด่นและแตกต่างมากยิ่งขึ้น
ด้าน รศ. ดร.ธานี ศรีวงศ์ชัย คณบดีคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การเติบโตของเทรนด์การบริโภคสินค้าเกษตรที่เข้าสู่เจเนอเรชันใหม่ เป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้ศูนย์วิจัยข้าวโพด และข้าวฟ่างแห่งชาติ ในฐานะผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ไร่สุวรรณ เล็งเห็นถึงโอกาสที่จะเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งกลยุทธ์หลักในการขยายตลาดของปีนี้คือ ความร่วมมือกับบริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยแบรนด์ วี ฟาร์ม ที่มีช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคที่กว้างขวาง และนำเสนอสินค้าเกษตรเรือธงอย่างข้าวโพดพันธุ์อินทรี 2 ซึ่งแตกต่างจากน้ำนมข้าวโพดทั่วไป
นายอภิรักษ์ กล่าวต่อว่า ช่องทางขายเตรียมกลับไปขายในซูเปอร์มาร์เก็ตอีกครั้ง โดยพัฒนานวัตกรรมที่จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้นถึง 15-21 วัน เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์พาสเจอร์ไรซ์ที่เก็บได้ไม่เกิน 14 วัน ทำให้สามารถจัดจำหน่ายผ่านช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น
นอกจากช่องทางขายปลีกแล้ว ยังเล็งเห็นโอกาสในการขยายตลาดไปยังกลุ่มฟู้ดเซอร์วิส เช่น ร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ โดยมีร้านโจนส์สลัดเป็นหนึ่งในตัวอย่างของลูกค้ากลุ่มนี้
โดยบริษัทวางแผนที่จะขยายตลาดไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV ได้แก่ สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม รวมถึงมาเลเซีย จีน เกาหลี และญี่ปุ่น โดยพิจารณาถึงศักยภาพในการเติบโตและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศเป็นหลัก
นอกจากนี้มีแผนที่จะร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศเป้าหมายเพื่อผลิตสินค้าในรูปแบบ OEM และในอนาคตจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากนมข้าวโพดให้สูงขึ้นเป็น 25% ในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีรายได้ราว 20%