สงคราม ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสียและความเสียหายทางกายภาพ แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดคือ "ธุรกิจกาแฟ" เครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายคนขาดไม่ได้ในแต่ละวัน แต่ทำไมสงครามจึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจกาแฟได้มากขนาดนี้
นายกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ อโรม่า กรุ๊ป เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผลกระทบจากการขยายวงของสงครามตะวันออกกลาง และการสู้รบกันโดยตรงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ทำให้เส้นทางการเดินเรือทั่วโลกได้รับผลกระทบจากสงคราม มีการขนส่งสินค้าล่าช้าลงอย่างมาก
จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 30-45 วันในการขนส่งวัตถุดิบจากยุโรปมายังประเทศไทย ปัจจุบันต้องใช้เวลานานถึง 45-180 วัน ส่งผลให้การวางแผนการผลิตและการจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทมีความยืดหยุ่นน้อยลง และมีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนวัตถุดิบ
นอกจากนี้ ค่าขนส่งทางเรือและทางอากาศยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากเส้นทางการเดินเรือต้องเปลี่ยนแปลง และมีจำนวนเรือขนส่งที่ลดลง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูง ส่งผลต่อราคาขายปลีก
ปัญหาที่ตามมาจากการล่าช้าและค่าขนส่งที่สูงขึ้นคือราคาของวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมล็ดกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้าที่มีราคาสูงขึ้นถึง 50% และ 70% ตามลำดับ ส่วนโกโก้นั้นมีราคาเพิ่มขึ้นสูงถึง 200% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
เพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น บริษัทอโรม่า กรุ๊ป จึงจำเป็นต้องปรับราคาขายกาแฟปลีกขึ้นประมาณ 5-10 บาท เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับราคาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
หากสถานการณ์สงครามยังคงยืดเยื้อต่อไป อาจส่งผลให้ราคาของกาแฟเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค นอกจากนี้ บริษัทผู้ผลิตกาแฟรายอื่นๆ ก็อาจต้องเผชิญกับปัญหาที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกาแฟโดยรวม