นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ภาพรวมค้าปลีกปี 2567 ยังไม่สดใสเท่าที่ควรจากปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการค้าปลีก อาทิ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตามที่ภาครัฐคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกเกินกว่า 37% ผลิตหรือสต็อกสินค้าเกินความเหมาะสมไว้ก่อนแล้ว
การหดตัวด้านการลงทุน ที่ส่งผลต่ออัตราการจ้างงานและการบริโภค,หนี้ครัวเรือนสูง และภาระหนี้สินของเอสเอ็มอี รวมทั้งมาตรการแจกเงิน 1 หมื่นบาทให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัดและยังต้องรอความชัดเจนในเฟสต่อไปที่จะแจกให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มอื่นๆ
ประกอบกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งอนาคตของเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ไม่แน่นอนจากนโยบายภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการใช้จ่ายของประชาชน
อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้าปลีกไทยมองว่าทิศทางค้าปลีกปี 2568 คาดอาจจะเติบโตราว 3-5 % เมื่อเทียบกับจีดีพีของปี 2568 ที่คาดว่าจะเติบโต 2.3-3.3% ด้วยแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวและส่งออก รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ
ท่ามกลางความท้าทายจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้น และปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยสมาคมฯ เชื่อว่าภาคค้าปลีกจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญอันดับต้นๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตตามเป้าหมาย ด้วยมูลค่าค้าปลีกและบริการกว่า 4.4 ล้านล้านบาท หากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
เดินหน้าลงทุนและเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ปี 2568
เสริมแกร่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
ยกระดับไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ตอกย้ำเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตทุกระดับ พร้อมสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มสูบเพื่ออนาคตของเศรษฐกิจไทยที่จะกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง