ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองภูเก็ต ถือเป็น Top destination for Global Jetsetter เทียบชั้นเมืองตากอากาศหรูระดับโลกอย่าง ฮาวาย, โมนาโก, ซานโตรินี, ไมอามี่ โดยเมืองท่องเที่ยวสุดหรูเหล่านี้มีองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับภูเก็ต
ภูเก็ตยังเติบโตต่อเนื่องทั้งในด้านเศรษฐกิจ และท่องเที่ยว คาดการณ์รายได้ภาคการท่องเที่ยวปี 67 แตะ 5 แสนล้านบาท ‘New high’ โตจากปี 66 ที่ 28% (ปี66’ 388,017 ล้านบาท) ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่ม +16% (YoY) เป็นจังหวัดที่มี High season ตลอดทั้งปี มีค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว 34,336 บาทต่อคน มากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากภูเก็ตถือว่าเป็นตลาดท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ ที่นักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายต่อหัวสูง มีจุดขายที่สำคัญคือ ทะเลอันดามันที่สวยติดอันดับโลก* ของประเทศ และมี รายได้เฉลี่ยต่อหัว (GPP Per capita) อันดับ 1 ของภาคใต้ อันดับ 12 ของประเทศ คาดว่า GDP ของจังหวัดภูเก็ตในปี 2024 จะเติบโตในระดับเกือบ 20% โดยถือว่าขยายตัวได้ดีกว่าภาพรวมของทั้งประเทศ
ดังนั้น เซ็นทรัล ภูเก็ต จึงได้ลงทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มกำลังซื้อสูง เราได้ขยายพื้นที่ฝั่งฟลอเรสต้า จากเดิม GFA 180,000 ตร.ม. เป็น 200,000 ตร.ม. เพิ่มขึ้น 2 หมื่น ตร.ม. แบ่งเป็น Ultra Luxury Brands and Bridge Line รวมทั้งสิ้น 25 แบรนด์ (ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 16 แบรนด์) ถือเป็น Luxury mall ที่รวมแบรนด์หรูมากที่สุด หนึ่งเดียวนอกกรุงเทพฯ ช่วยส่งเสริมศักยภาพการเติบโตของตลาด Luxury ไทยเติบโตที่มีมูลค่ากว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดการณ์การเติบโตเฉลี่ย 6.15% ต่อปี จนถึงปี 2028 ซึ่งสูงกว่าตลาดในสิงคโปร์ สินค้า Luxury ในไทยเน้นกลุ่มแฟชั่นเป็นหลักเติบโตจากจากความต้องการในประเทศ และ อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย แม้ตลาดสินค้าหรูทั่วโลกชะลอตัว แต่ไทยกลับเติบโตอย่างแข็งแกร่ง วัดได้จากเม็ดเงินโฆษณาแบรนด์หรูต่างๆ ที่ Target ในไทย โตถึง 214% ในครึ่งปีแรกของปี 67 สูงที่สุดในเอเชีย* ซึ่งแบรนด์หรูระดับโลกหลายแบรนด์เริ่มหันมาใช้ KOLs ไทยในฐานะ Brand Ambassador สะท้อนอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะกับกลุ่ม Young Gen จากศักยภาพดังกล่าว
ด้านนางวิไลพร ปิติมานะอารี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต กล่าวว่า ปัจจุบันเซ็นทรัล ภูเก็ตมีลักชูรีแบรนด์ทั้งหมด 15 แบรนด์ และ ภายในปี 67 จะเพิ่มเป็น 16 แบรนด์ ได้แก่ BALENCIAGA, BOTTEGA VENETA, BURBERRY, BVLGARI, CELINE, DIOR, GUCCI, HERMÈS, LOUIS VUITTON, OMEGA, PMT THE HOUR GLASS, PRADA, SAINT LAURENT, TIFFANY & CO., VERSACE, ZEGNA
และจะเพิ่มอีก 12-15 แบรนด์ใน 2 ปีข้างหน้าจากการขยายพื้นที่เพิ่ม
นอกจากนี้ แบรนด์หรูต่างขยับขยายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น LOUIS VUITTON บูติกส่วนต่อขยายใหญ่ที่สุดในภาคใต้ PRADA บูติกใหม่ ขนาด 597 ตารางเมตร ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย TIFFANY & CO. แฟล็กชิพสโตร์ BVLGARI ป๊อป-อัพ เผยโฉมครั้งแรกนอกกรุงเทพฯ CELINE เตรียมเปิดเดือนธันวาคม นี้ แบรนด์ที่ Relocate อย่าง BOTTEGA VENETA, BALENCIAGA, YSL เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเพิ่มแบรนด์สตรีทระดับโลก อย่าง Lululemon สาขาแรกนอกกรุงเทพฯ และ ZARA Flagship Store คอนเซปต์ใหม่ล่าสุด ใหญ่ที่สุดใน South East Asia บนพื้นที่กว่า 1,800 ตารางเมตร มียอดขายเปิดร้านวันแรก (1Nov) อันดับ 1 ในเอเชีย และปัจจุบันมียอดขายติดอันดับ 3 ของไทย รองจากกรุงเทพฯ สะท้อนศักยภาพเมืองเป็นศูนย์การค้าที่แบรนด์โลกเลือกปักหมุด
"โดยปัจจุบันเซ็นทรัล ภูเก็ตมีลูกค้ามาใช้บริการ เฉลี่ย 8 หมื่นคน/วัน คาดหลังขยายโซนแล้วเสร็จ จะเพิ่ม 25% เป็น 1 แสนคน /วัน แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 70% และคนไทย 30% นักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกที่เข้าใช้บริการศูนย์การค้า: Russia, China, USA, Singapore, Hongkong โดยข้อมูลจาก The 1 พบว่า Spending per visit ของ The 1 Member สูงกว่าศูนย์อื่น 5 เท่า และ Spending per visit ของ The 1 Exclusive สูงกว่าศูนย์อื่น 6 เท่า โดยสิ่งที่ดึงดูดให้คนมาช้อปแบรนด์เนมที่เซ็นทรัล ภูเก็ต คือ มีสินค้า Rare items ที่หาไม่ได้ที่อื่น”